ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จะเดินต่อแถวเป็นรถไฟไปทัศนศึกษา หรือเดินจูงมือหวานซึ้งไปดูดาวที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ณ เอกมัยก็ไม่ ว่ากันท้องฟ้าจำลองต้อนรับผู้คนมาตั้งแต่ปี2507
แต่รู้ใหมว่า ที่เรานั่งดูดาว เท้าติดดินในโดมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง20.60เมตนนั่น เป็นโดมที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในเอเชีอ(ซึ่งนั้นก็แน่นอนว่าต้องเป็นที่แรกในประเทศไทยอยู่แล้ว)จากไอเดียวล้ำๆของม.ล.ปิ่น มาลากุล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โครงการทองฟ้าจำลองและหอดูดาวจึงเกิดขึ้น จึงก็สร้างเสร็จพร้อมเปิดใช้ในวันแรก 18 สิงหาคม 2507
และก่อนหน้าจะใช้ชื่อ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ท้องฟ้าจำลองมีชื่อนอมีนี่อีก18ชื่อ อันได้แก่ ฟ้านฤมิต บ้านดารา อาคารน่านฟ้า เพดานดาว ฟ้าเทียม จรจักวาฬ เวหานิมิต ห้วงเวหา เวหาสน์จำรูญ ดาราทัศสถาน เวหาทัศนาจร ดาราศึกษาสถาน และจรจบฟ้า
จนทุกวันนี้ ท้องฟ้าจำลองยังคงเปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยแบ่งรอบการแสดงเป็น 10.00-11.00 น. 13.30-14.30 และ 13.30-15.30 นักเรียนและนักศึกษา 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
เครดิต a day เล่ม77

สนามหลวง หรือ ทุ่งพระสุเมรุ นั้นสร้างขึ้นมาพร้อมกับการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนต้นมะข้ามที่เราเห็นอยู่รายรอบสนามหลวงนั้นแท้จริงเพิ่งเริ่มปลูกในสมัยรัชกาลที่ 5 เท่านั้นเอง
โดยการปลูกมีขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ 2446 ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับการปลูกต้นไม้ในพระรราชวังสวนดุสิต โดยมีเจ้าพระยาเทเวศร์เป็นผู้กะแนวการปลูกต้นไม้รอบสนามหลวง เมื่อถวายแบบแปลนให้ทรงทอดพระเนตรแล้วจึงได้ลงมือปลูก แต่ทว่ามีการกะแนวต้นพลาดกันกับพระสถิตมิมานการ ผู้เป็นเจ้ากรม (อธิปดี) โยธาสมัยนั้นสุดท้ายแล้วรัชกาลที่ 5 จึงมีพระบรมราชโองการว่า ให้เลิกปลูกในถนน แล้วปลูกในสนามเป็นสองแถว แต่ละต้นห่างกันเจ็ดเมตร อย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน
แต่ทว่ามะขามจะมีจำนวนกี่ต้นนั้น ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ถ้าอยากรู้คงต้องไปนับกันเองแล้วหละครับ(ผมนับดูหลายครั้งแล้วมันได้.....หลายต้นครับ)
เครดิต a day เล่ม77

คำว่า "โลหะปราสาท" Lohaprasada เป็นชื่อดั้งเดิมของอินเดีย เรียกมาแต่ครั้ง
พุทธกาล สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานความหมายว่า "ตึกที่มียอดเป็นโลหะ "ตามตำนานกล่าวว่า โลหะปราสาทแห่งแรกนั้น นางวิสาขาฯได้สร้างถวาย
พระพุทธเจ้าที่บุพพารามประเทศอินเดีย ต่อมาในปี พ.ศ.382 พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยทรงโปรดให้สร้างขึ้นในลังกาเป็นองค์ที่ 2 ปัจจุบันทั้ง 2 แห่งคงเหลือแต่ซากเสาปักอยู่
พอพูดถึงโลหะปราสาทก็ขอบอกประวัตินิดละกันครับ
โลหะปราสาท เป็นโบราณสถานล้ำค่าของชาติไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นโลหะปราสาทแห่งที่ ๓ ของโลก ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประเทศไทยเพียงแห่งเดียว แห่งแรกอยู่ที่ประเทศอินเดีย แห่งที่ ๒ อยู่ที่ประเทศศรีลังกา ทั้งสองแห่งได้ถูกทำลายพังสูญสิ้นไปแล้ว เหลือสมบูรณ์อยู่ ณ วัดราชนัดดารามวรวิหารเท่านั้น โลหะปราสาท ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ช่างออกแบบก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๙ ตาม
ลักษณะของโลหะปราสาทที่พรรณาไว้ในหนังสือมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา โดยมอบหมายให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) ขณะนั้น ยังเป็นพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ดำรงตำแหน่งอธิบดีก่อสร้าง เป็นแม่กองดำเนินการก่อสร้าง และยังโปรดให้ช่าง
เดินทางไปดูแบบโลหะปราสาทในประเทศลังกาด้วย โดยนำเค้าเดิมมาเป็นแบบแล้วปรับปรุงให้เป็นสถาปัตยกรรมตามลักษณะศิลปกรรมของไทย แต่ที่แตกต่างจากโลหะปราสาทองค์
อื่นๆ คือ ไม่ได้สร้างสำหรับพระสงฆ์อยู่ แต่สร้างขึ้นแทนพระเจดีย์เท่านั้น

โลหะปราสาท มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตามโลหะปราสาทที่เมืองลังกา ส่วนสถาปัตยกรรมนั้นสร้างตามแบบศิลปกรรมไทย ฐานกว้างด้านละ ๒๓ วา เป็นอาคาร ๗ ชั้น ลดหลั่นกันขึ้น อาคารชั้นล่าง ชั้นที่ ๓ และชั้นที่ ๕ จะเป็นคูหาและระเบียงรอบ ในชั้นที่ ๒ และชั้นที่ ๔ ชั้นที่ ๖ ทำเป็นคูหาจตุรมุขมียอดเป็นบุษบกชั้นละ ๑๒ ยอด และชั้นที่ ๗ เป็น
ยอดปราสาทจัตรมุขสำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุ รวมเป็น ๓๗ ยอด หมายถึง หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ๓๗ ประการ ที่เป็นปัจจัยให้ดำเนินไปสู่ความหลุดพ้น เข้าสู่ดินแดนพระนิพพาน
ที่เรียกว่า "โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ"การขึ้นสู่โลหะปราสาทแต่ละชั้น จะมีบันไดวนตั้งอยู่ตรงใจกลางของอาคาร โดยตั้งซุงขนาดใหญ่ยึดเป็นแบบแม่บันได นับตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโลหะปราสาทในรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ยังไม่เคยก่อสร้างได้แล้วเสร็จบริบูรณ์ จนถึงรัชกาลปัจจุบันได้เริ่มมีการบูรณะครั้งแรก เมื่อปี 2506

แสตมป์ไทยมีกำเนิดมาพร้อมกับกิจการไปรษณีย์ไทยเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือนเก้า ปีมะแม เบญจศก จุลศักราช 1245 ตรงกับวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2426พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า ทรงสถาปนากิจการไปรษณีย์นับเป็นครั้งแรกในบ้านเมืองเราที่ราษฏร สามารถส่งข่าวสารได้อย่างมีระบบและสะดวกสบาย แสตมป์ชุดแรกของไทยชื่อ "ชุดโสฬศ" ประกอบด้วย 1 โสฬศ 1 อัฐ 1 เสี้ยว ซีกหนึ่ง สลึงหนึ่ง และเฟื้องหนึ่ง จัดพิมพ์ที่บริษัท Waterlow and Son Ltd.ประเทศอังกฤษ จำนวนพิมพ์ชนิดละ 5 แสนดวง เริ่มนำออกมาใช้วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ในวันนั้นเนื่องจากแสตมป์ราคาเฟื้องหนึ่งส่งมาไม่ทัน กรมไปรษณีย์โทรเลขจึงงดใช้และนำมาจำหน่ายเพื่อการสะสมภายหลัง ซึ่งราคาขายปัจจุบันยังไม่ใช้ครบชุดประมาณ 3,000 - 3,500 บาท

แสตมป์ชุดโสฬสออกแบบเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผินพระพักตร์เบื้องซ้ายภายในวงกรอบรูปไข่ ตัวหนังสือและตัวเลขใช้อักษรและเลขไทยล้วน ด้านหลังไม่มีกาวและไม่มีลายน้ำ

ซึ่ง ก่อนจะมีกิจการไปรษณีย์ในประเทศไทยนั้นการติดต่อสื่อสารของคนไทยในสมัยโบราณ ก็ใช้วิธีการสื่อสารในระบบ "ม้าใช้" หรือ "คนเร็ว" เช่นเดียวกับที่ทั่วโลกได้นิยมใช้กัน กล่าวคือ ใช้คนเดินข่าวเดินทางนำข่าวไปด้วยเท้า หรือใช้ม้า เรือ แพ เป็นพาหนะ สำหรับกำเนิดของการไปรษณีย์ในประเทศไทยนั้นย่อมกล่าว ได้ว่าได้รับอิทธิพลจากการที่กงสุลอังกฤษได้นำเอาระบบการ ติดต่อสื่อสาร ทางไปรษณีย์มาใช้ติดต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับ สิงคโปร์ กล่าวคือ ในราวปี พ.ศ. 2410 ปลายรัชสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 4 ประเทศ ไทยได้มีการติดต่อค้าขายและสัมพันธไมตรี กับต่างประเทศมากขึ้น มีสถานกงสุลต่างประเทศเข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ หลายแห่ง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับชาวต่างประเทศในเรื่องธุรกิจการค้า การศาสนามีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นกว่ากาลก่อน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อส่งข่าวไปมากับต่างประเทศมากขึ้น กงสุลอังกฤษเห็นความจำเป็นดังกล่าวนี้ จึงได้จัดการเปิดรับบรรดาจดหมายเพื่อส่งไปมาติดต่อกับต่างประเทศขึ้น โดยใช้สถานที่ตึกยามท่าน้ำริม ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาหลังกงสุลอังกฤษเปิด ทำการ โดยใช้ตราไปรษณียากรของสหพันธรัฐมลายาและอินเดีย ซึ่งพิมพ์อักษร "B" ประทับลงบนดวงตราไปรษณียากรนั้น ๆ แทนคำว่า "Bangkok" จำหน่าย แก่ผู้ต้องการส่งจดหมายไปต่างประเทศ แล้วส่งจดหมายเหล่านั้นไปประทับตราวันที่ที่สิงคโปร์ โดยฝากไปกับเรือค้าขายภายใต้ร่มธงอังกฤษ

ต่อ ประมาณกลางปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช (ข้าราชการสำนักในต้นรัชกาลที่ 5) ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอให้ทรงพระราชดำริจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย เรื่องการจัดตั้งการไปรษณีย์ตามที่เจ้าหมื่นเสมอใจราช ได้นำความกราบบังคมทูลคงจะต้องด้วยพระราชดำริของพระองค์ท่านแต่ทรงเห็นว่า เป็นงานใหญ่ ต้องใช้ทุนรอนมาก หากพลาดพลั้งไปจะเสียหายได้ ควรที่จะได้ศึกษาดูประเทศใกล้เคียงเพื่อเป็นประสบการณ์และแนวทางก่อน จึงโปรดฯ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราชเดินทางไปศึกษาดูงานการไปรษณีย์ที่ประเทศจีนและ ประเทศญี่ปุ่นซึ่งก็ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีและทรงมีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงสนพระทัยและทรงเข้าใจเรื่องการไปรษณีย์ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงออกหนังสือ ข่าวราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ เป็น ผู้นำในการจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง ตรีศก จุลศักราช 1243 (ตรงกับวันที่ 2 กรกฏาคม 2424) โดยร่วมมือกับ เจ้าหมื่นเสมอใจราช การดำเนินการเพื่อจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทยได้ดำเนินต่อ มาโดยได้มีชาวต่างประเทศช่วยเหลือดำเนินการด้วยที่สำคัญคือ นายเฮนรี่ อาลาบาสเตอร์ จนกระทั่งในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2426 สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงมีหนังสือลงวันพฤหัสบดีแรม 14 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม เบญจศก 1245 กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบว่า การเตรียมการต่าง ๆ เกือบจะเรียบร้อยแล้ว เห็นควรที่จะประกาศเปิดการไปรษณีย์ขึ้นในกรุงเทพฯ ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ปีมะแม เบญจศก 1245 เมื่อการตระเตรียมวางระเบียบแบบแผนจนสำเร็จเรียบร้อย พร้อมที่จะเปิดใช้การได้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมไปรษณีย์ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พุทธศักราช 2426 เป็นปฐม มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือปากคลองโอ่งอ่าง และในวันเดียวกันนี้เอง (ซึ่งตรงกับวันเสาร์เดือนเก้าขึ้นค่ำหนึ่ง ปีมะแม เบญจศก 1245) ก็ได้มีประกาศเปิดการไปรษณีย์ทดลองในกรุงเทพฯโดยกำหนดให้มีบริการไปรษณีย์ ภายในอาณาเขต ดังนี้คือ
ด้านเหนือ ถึง สามเสน
ด้านตะวันออก ถึง สระประทุม
ด้านใต้ ถึง บางคอแหลม
ด้านตะวันตก ถึง ตลาดพลู

และขอพระราช ทานพระบรมราชานุญาตให้มีกฎหมายแผ่นดินสำหรับการไปรษณีย์ขึ้นไว้เป็นหลักฐาน ตามความเห็นชอบของนายอาลาบาสเตอร์ ซึ่งเสนอหลักการไว้และหลังจาก ทรงพระราชวินิจฉัยแล้วให้ใช้บังคับได้ จึงนับว่าเป็นกฎหมาย ไปรษณีย์ฉบับแรกของไทย

การ เปิดบริการไปรษณีย์ในเขตกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ปรากฎว่า เมื่อดำเนินการมาได้เดือนเศษ ปรากฎว่ามีผู้ใช้บริการมาก ได้ยังความชื่นชม สมพระราชหฤทัยมาก ดังจะเห็นได้จากกระแสพระราชดำรัส ซึ่งทรงพระราชทานแด่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ข้าทูลละออง ธุลีพระบาท ราชทูตอเมริกันและท่านเอเย่นต์กอมิสแซและกงสุลต่างประเทศ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา เมื่อวัน ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2426 มีความตอนหนึ่งว่า

" การไปรษณีย์ซึ่งได้เปิดใช้โดยส่งหนังสือในแขวงจังหวัดกรุงเทพฯ เสมอนั้น ก็เป็นที่แปลกใจของเราที่ไม่คิดว่าคนไทยจะใช้หนังสือกันถึงเพียงนี้ ทำให้เรามีความประสงค์ที่จะจัดการให้ได้ส่งหนังสือไปมาให้ได้ตลอดพระราช อาณาจักรสยามได้โดยเร็ว จะเป็นประโยชน์ในการค้าขายแลทางราชการมาก แล้วภายหลังเราหวังใจว่าคงจะทำตามคำเชิญของท่านผู้จัดการไปรษณีย์ใหญ่ในกรุง เยอรมนี ให้กรุงสยามเข้าจัดการส่งหนังสือไปมาได้ทั่วโลก คือเข้าในหมู่พวกการไปรษณีย์อันรวมกัน "

ต่อ มาสยามประเทศก็เข้าเป็นสมาชิกสหภาพไปรษณีย์สากลในปี 2428 ทำให้แสตมป์ที่พิมพ์ออกมาหลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ต้อง พิมพ์ชื่อประเทศลงบนดวงแสตมป์ด้วย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากร

บริษัทไปรษณีย์ไทย

คู่มือการสะสมแสตมป์ กองตราไปรษณียากร การสื่อสารแห่งประเทศไทย 2545

ประวัติกรมไปรษณีย์ระยะเริ่มแรก,กรมไปรษณียโทรเลข http://203.121.175.10/history_post/
ภาพข้างบนนี้โกอินเตอร์แล้วไปขายประเทศเพื่อนบ้าน(ทายสิว่าประเทศอะไร)
บรรทัดต่อจากนี้ เราขออุทิศให้แฟรน"ชร์บะหมีเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ชายสี่หมี่เกี้ยว เกิดขึ้นจากนำพักน้ำแรงของคุณพันธ์รบ กำลา บุคคลที่ดั้นด้นเข้ามาในกรุงเทพฯ โดยเริ่มต้นกับการประกอบอาชีพขายก้วยเตียวลูกชิ้นน้ำใส่ จากนั้นก็เปลี่ยนมาขายบะหมี่ได้สักพัก จนกระทั้งปี2537 ได้เริ่มทดลงอผลิตเส้นบะหมี่ขายเองในร้าน แต่ก็ต้องใช้เวลาคิดสูตรนานถึงหนึ่งปีเต็ม จนได้สูตรเป็นที่พอใจของลูกค้า จึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจแฟรนไชร์ร้านบะหมี่เกี้ยวที่เราเห็นกัน โดยมีสาขากระจายไปทั่วประเทศกว่า 2000 แห่ง (ยิ่งใหญ่จริงๆ) ซึ่งสาขาแรกของชายสี่หมี่เกี่ยวที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จก็อยู่ที่ หน้าสนามกีฬาธูปะเตมีย์ นั้นเอง
เครดิต a day เล่ม77