Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
ผมคิดว่าเวบนี้หน้าจะทำง่ายสำหรับคนไทยคือเว็บวิจารณ์สินค้านั้นเอง เว็บyopiเป็นเว็บไทยที่ใหญ่พอสมควร
ถ้าอยากรู้รายละเอียดลงคลิกไปที่ หารายได้จาการวิจารณ์สินค้า ตรงที่ขีดเส้นใต้เลยครับ รายได้จากการเขียนบทวิจารณ์ จะมาจากการได้รับคะแนนโหวต หรือ ที่เรียกว่าประเมิน แบ่งเป็น

1. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์สองคนแรก ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะได้รับ 0.5 บาท ต่อการได้รับโหวตหนึ่งครั้ง

2. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์คนที่ 3-5 ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะได้รับ 0.4 บาท ต่อการได้รับโหวตหนึ่งครั้ง

3. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์คนที่ 6-8 ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะได้รับ 0.3 บาท ต่อการได้รับโหวตหนึ่งครั้ง

4. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์คนที่ 9 เป็นต้นไป ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะไม่ได้เงิน


รายได้จากการแนะนำเพื่อนมาสมัคร / จากเว็บไซด์ของท่าน

1. ถ้าเพื่อน หรือ คนที่สมัครผ่านท่าน / เว็บไซด์ของท่าน เริ่มเขียนบทวิจารณ์แรกท่านจะได้ทันที 5 บาทต่อหนึ่งคน

2. เมื่อเพื่อนของท่าน หรือ คนที่สมัครผ่านเว็บของท่าน คนนั้นมีรายได้ซึ่งเกิดจากโปรแกรมนี้ ท่านจะได้ 50% ของคน ๆ นั้น (ไม่ได้หักจากเขามาให้นะครับ แต่เอาที่เขาได้มาคูณ 0.5 แล้วเอาให้คุณ)

3. ท่านมีสิทธิได้รับเงินในข้อ 2 เป็นเวลาสามเดือนนับจากวันที่เพื่อน หรือสมาชิกคนนั้น ๆ ที่ท่านแนะนำมาทำการสมัครสมาชิก และได้รับสูงสุด 100 บาทต่อหนึ่งคนที่ท่านแนะนำมาสมัคร


การสมัครสมาชิก
หลักจากทำการสมัครสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านจะได้รับทันที 20 บาท

หมายเหตุ:

1.สมาชิกจะได้รับเงินโดยเช็คบริษัท สามารถนำไปขึ้นเงินได้ทันที
2.เราจะส่งเช็คไปให้ต่อเมื่อรายรับของท่านถึง 500 บาทขึ้นไป
3.สมาชิกจะขอเช็คได้ต่อเมื่อครบ 30 วันแล้วนับจากวันที่สมัคร

สมัครต่อได้เลยครับหารายได้จาการวิจารณ์สินค้า
ในเมื่อกล่าวถึงครูเพลงสุรพลไปแล้วก็ขอกล่าวถึง พระเอกตลอดการ มิตร ชัยบัญชา เป็นดารายุคเก่าที่ได้รับความนิยมมากคนหนึ่งของเมืองไทย เคยได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี จากสาขาดารานำฝ่ายชายที่ทำรายได้สูงสุด และรางวัลดาราทองพระราชทาน รางวัลดาราทองขวัญใจมหาชน เป็นพระเอกตลอดกาลของวงการภาพยนตร์ไทย ที่ไม่ใช่มีมนต์ขลังกับหมู่คนที่เกิดในยุคสมัยนั้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงคนรุ่นหลังอีกด้วย อย่างเช่น การก่อตั้งสมาชิกชมรม "คนรัก มิตร ชัยบัญชา" กับคนที่สนใจเรื่องราวของมิตรในช่วงหลัง และในปี พ.ศ. 2545 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดการแข่งขันรายการ แฟนพันธุ์แท้ ของพระเอกมิตร ชัยบัญชา ที่เป็นการแข่งขันหาแฟนตัวจริงในทุก ๆ รุ่นของมิตร โดยมีผู้ชนะการแข่งขันคือ จงบุญ สุขิน คิดดูสิครับว่าถ้ามิตร ชัยบัญชา วงการภาพยนต์ไทยคงเปลี่ยนแปลงจากที่เรารู้จักอย่างแน่นอน
วันนี้จะมาบอกว่าใกล้จะถึง The Grand Concert คิดถึงสุรพล สมบัติเจริญ แล้วนะครับ วันที่ศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2552 เวลา 18.00 น. ย้อนรำลึกคืนวันอันแสนหวานกับ ผลงานอมตะ ของสุดยอดราชาเพลง ลูกทุ่ง สุรพล สมบัติเจริญ สืบสานขับขาน โดยทายาทสมบัติเจริญ นำโดย สุรชัย สุรชาติ สุรบดินทร์ สมบัติเจริญ และนักร้อง นักแสดง มากมายเต็มเวทีท่านจะประทับใจและดื่มด่ำไปกับบทเพลงที่ท่าน คุ้นเคยตลอดทั้งงาน สนุกสนานกับละครเพลงโดยนักแสดงชั้นนำ
ขอเชิญมาร่วมกันส่งความคิดถึงไปยังบรมครูผู้วายชนม์ สุรพล สมบัติเจริญ ในบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่ ตระการตา ของอภิมหาคอนเสิร์ตลูกทุ่งอมตะ
บัตร บัตรราคา2,000 / 1,500 / 1,000 / 500 / 400 บาท ไม่รู้ว่าบัตรหมดยัง ยากไปดูจัง
แล้วก็ได้เวลาของศิลาจารึกหลักที่ 1ของไทยแล้วนะครับจริงๆอยากเอาเรื่องนี้มาลงให้นานแล้วครับแต่ยังไม่ได้ทำวักกะที(จริงๆลืมครับ)เอาเป็นว่ามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่าครับ หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้รับการยกย่องให้เป็นหลักฐานที่ทรงคุณค่าต่าง ๆ คือ ประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และนิติศาสตร์
เนื้อความที่ปรากฏบนหลักศิลาจารึกบ่งบอกถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ สภาพเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงหลักการเมืองการปกครอง ความเชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยนั้น ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ในยุดเริ่มแรกของ ประเทศไทย ที่พวกเราคนรุ่นหลังสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับรู้เอาไว้ และนำความรู้เหล่านั้นมาประยุคใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคต
หลักสิลาจารึกหลักที่หนึ่งได้ถูกค้นพบโดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครั้งที่ทรงยังไม่ได้ครองราชย์และทรงผนวชอยู่ ทรงได้เสด็จไปสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. 2376 ทรงพบ “เสาศิลา” พร้อมกับ “พระแท่นมนังศิลา” และจารึกวัดป่ามะม่วง พระองค์ทรงได้นำมาเก็บไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ได้ย้ายมาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ภายในพระที่นั่งศิวโมกพิมาน
ด้วยความโดดเด่นและทรงคุณค่าทางวัฒนะธรรม องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนะธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก้ ได้จดทะเบียนให้เป็น เอกสารทางความทรงจำแห่งโลก (Memory of the world) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2546
หลักฐานหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นมาของประเทศ ไทย มีหลายชิ้นที่มีความเป็นมาอย่างพิษดารมากมาย บางชิ้นเกือบจะสูญเสียไปอย่างไม่ได้ตั่งใจ บางชิ้นค้นพบด้วยความบังเอิญ ถ้าพวกเราคนไทยลองศึกษาการได้มาของเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ เหล่านั้นจะรู้ว่า ประเทศของของเรามีบุญหนักหนา เหมือนกับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรบางอย่างช่วยไม่ให้สิ่งเหล่านั้นสูญหาย ไป และได้ช่วยดลให้มีคนไปค้นเจอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเราได้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นที่ศึกษาและเป็นมรดกของประเทศ แล้ว พวกเราก็ควรที่จะศึกษาอย่างจริงจัง ที่สำคัญควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ให้อยู่คู่กับประเทศไทยไปอย่างยาวนาน



ที่มา : ป้ายหน้าหลักศิลาจารึกหลังที่หนึ่ง ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
โดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
เรียบเรียง : วาทิน ศานติ์ สันติ
มีคนถามผมมาหลายคนเหมือนกันว่าการหาเงินทางอินเตอร์เน็ทได้เงินจริงหรือป่าวมาหลายครั้งแล้วแต่ผมบอกไปเพื่อนๆก็คงไม่เชื่ออีกหละจนกว่าจะได้ลองทำด้วยตัวเองจริงใหมครับ

การหาเงินทางเน็ตนั้นมีด้วยกันหลายแบบไม่ว่าจะเป็น Google Adsense,Affiliate Marketing สองอย่างนี้เป็นที่นิยม
และก็มีอีกหลายแบบเช่นกันที่หาเงินได้นอกจากสองแบบข้างบนเช่นPTC,PTR,PTP,PTS,Surf,Hyipทั้งหลายแต่โอกาศจ่ายจริงก็น้อยลงด้วยเช่นกันแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่จายเลยนะครับแต่โอกาศหน้าผมจะมานำเสนอวิธีหาเงินแบบที่จ่ายจริงๆครับ
เง้อเห็นลิดเดอร์ของจุฬายูไนเต็ดแล้วผมว่าสงสัย TTM สมุทรสาครบ้านผมคงต้องมีหนาวบ้างหละครับ แต่ไม่เป็นไรยังไงผมก็เชียร์ TTM สมุทรสาคร แน่นอนงับ

ข้อมูลภาพจาก
ผมพยายามเก็บรวมรวมโฆษณาเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้คนหลายๆคนที่พลาดชมได้มีโอกาศได้ชมกันครับ
vdo ที่1

vdo ที่2

วันนี้เอาแค่2โฆษณานี้ก่อนครับ ความจงรักภักดีแสดงออกได้หลายวิธี นี้อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมพอจะทำได้ครับ
เอาบทความอะไรสำคัญกว่ากันมาให้ได้อ่านกันครับ เห็นว่าเป็นอีกหนึ่งบทความที่ดีครับผม

ณ. ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐแคริฟอร์เนีย มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสี่ขวบ คุณพ่อของเธอมีรถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งคุณพ่อรักมาก เนื่องจากแต่งซิ่งซะ ดูสดใสใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ถูกใจโก๋แก่ ว่างั้นเถอะ

อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหญิงเอาของแข็งไปขีดรถเล่น จนรถเป็นรอยขูดขีดไปทั่วด้วยความโมโหสุดขีด ผู้เป็นพ่อใช้เส้นลวดมัดข้อมือของเด็กหญิง แล้วจับเธอมัดไว้ในโรงรถเพื่อเป็นการทำโทษ และกว่าเขาจะนึกขึ้นได้ ก็เป็นเวลาที่ร่วงเลยไปเกือบ 4 ชั่วโมงแล้ว

ตอนที่เขากลับเข้าไปในโรงรถอีกครั้ง มือของเด็กถูกรัดจนเลือดไม่ไหลเวียน จนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
แพทย์วินิจฉัยว่า ต้องตัดมือทั้งสองข้างทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตไว้ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่เป็นมือได้ตายไปหมดแล้ว

เด็กหญิงจึงต้องสูญเสียมือทั้งสองข้างไป โดยที่เธอก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการถูกทำโทษในครั้งนี้เลย
มันยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา

ครึ่งปีผ่านไป พ่อของเด็กนำรถไปเคาะพ่นทาสีใหม่ ก็ได้รถที่มีสีแสบจ๊าบ ประดุจรถใหม่กลับมาอีกครั้ง

พอถึงบ้าน เด็กหญิงเห็นรถทาสีใหม่ พูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสาว่า “คุณพ่อคะ รถคุณพ่อสวยจังเลย เหมือนรถคันใหม่เลย”

ในขณะเดียวกัน ก็ได้ยื่นแขนไร้มือคู่นั้นออกมา แล้วถามพ่อว่า
“แล้วเมื่อไหร่คุณพ่อถึงจะคืนมือให้หนูละค๊ะ”

คุณทราบไหมว่า เมื่อคุณพ่อคนนั้นได้ยินดังนั้น เขาทำอย่างไร...
เขาดึงปืนออกมา แล้วยิงตัวตายต่อหน้าลูกสาวของเขา... ...

ผู้ คนมากมายในโลกนี้ ยังแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญกว่าในชีวิต มัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะนึกว่า นั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่า...

...คุณจะเห็นคนบางคนอุตส่าห์ไปช่วยมูลนิธิต่างๆกวาดถนน แต่ไม่ยอมแม้แต่จะกวาดบ้านของตัวเอง...

...คนบางคนบริจาคเงินมากมายไปสร้างวัด แต่กับญาติพี่น้องตัวเองกลับเหนียวหนืดยิ่งกว่าอะไร...

...คนบางคนพูดจาไพเราะอ่อนหวานกับคนรอบข้าง แต่กับคนในบ้านกลับตะคอกฉุนเฉียว...

...นี่แสดงว่า คุณพ่อคนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญกว่า ระหว่างรถ กับลูกของตัวเอง...

...ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ ในโลกนี้ล้วนเต็มด้วยเรื่องแบบนี้ และมีให้เห็นเป็นประจำ แม้แต่ท่ามกลางเธอและฉันนี่แหละ... ...

credit http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,70995.msg872160/topicseen.html#new
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราเท่าไหร่หลอกครับ แต่เพราะพี่จีนเราดันเทพซะขนาดนี้ เห็นปลอมมาเกือบทุกอย่างแต่ผมไม่นึกว่าจะกล้าขนาดปลอมไข่นีซิเขาปลอมไข่ไก่ไปทำไรหว่า ภาพมนกรอบเหลือง ภาพซ้ายคือไข่จริง ภาพขวาคือไข่ปลอมที่ทำได้ เหมือนมาก
เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดย เร็วที่สุด
ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้


๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้
การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง

ยกตัวอย่าง

ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"

๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ

๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่ หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้ม เหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมา ตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดี ยิ่งขึ้น เป็นต้น
สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง



หมายเหตุ *

ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็น แก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อ จะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิด อาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง
credit http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,12097.0.html
เอาวิดีโอมาให้ดูกันงับ เพราะว่า เขาก็รับสมัครเรื่อยๆนะครับแค่เขาไม่ค่อยได้โปรโมตเท่าไหร เป็นวีดีโอเก่าแล้วครับแต่อาจโดนใจใครหลายคนให้หันมาพึ่งโครงการต้นกล้าบ้างอย่างน้อยก็ยั่งได้เพื่อนละครับ

เหมื่อนเอาของเก่ามาเล่าใหม่แต่จริงๆอยากให้เพื่อนๆได้มีโอกาศลองนะครับ
จบไปแล้วนะครับกับบอลไทยและลิเวอร์พลูผลเสมอกัน1-1 อิอิผมดีใจมากเลยนะที่เสมออะเพราะอย่างน้อยทีมที่เรารัก2ทีมไม่แพ้แค่นี้ก็สบายใจแล้ว แบบว่าตอนผมนั่งูบอลนะไอ้เพื่อนเราที่ชอบแมนยู(ขออ้างอิงนิด)มันพูดเหน็บไปใจเลย แต่ช่างมันได้ดูบอลก็สบายใจแล้วนี้ถ้าได้ไปดูที่สนามป่านี้คงบินได้ไปแล้วอิอิ บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด เมื้อสองทีมต้องมาเจอผลเสมอคือ ความพอใจ
มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปู
กับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใคร
ก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่
ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อย
รู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่
ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุม
ตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์
ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชาย
ก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูก
ถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับ
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอก
ลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำ
อะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการ
เอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน
ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำ
คำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา
เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า
เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลาย
ทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง
เมื้อวานแซวเรื่องนี้ไปวันนี้เลยต้องเขียนบทความเรื่องนี้นิดหน่อยครับ เดี่ยวจะตกเทรนได้ เอางี้ดีกว่าเริ่มบทความเลยละกัน เช้าวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552 จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง เส้นทางคราสเต็มดวงผ่านหลายประเทศในเอเชีย แต่ไม่ผ่านประเทศไทย เราจึงจะเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากดวงจันทร์เข้าใกล้โลกมากที่สุดใน รอบปีเมื่อเวลาประมาณตี 3 ของวันเดียวกัน และเกิดหลังจากที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากโลกมากที่สุด 2-3 สัปดาห์ ทำให้ดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้สุริยุปราคาครั้งนี้มีระยะเวลามืดเต็มดวงยาวนานมาก

สุริยุปราคา เริ่มต้นเมื่อเงามัวของดวงจันทร์เริ่มแตะผิวโลกในเวลา 6:58 น. ตามเวลาประเทศไทย ตรงบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของอินเดีย ศูนย์กลางเงามืดเริ่มแตะผิวโลกเมื่อเวลาประมาณ 7:53 น. ในบริเวณอ่าวแคมเบย์ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งด้านทิศตะวันตก ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ขึ้น นาน 3 นาที 9 วินาที จากนั้นเงามืดเคลื่อนไปทางตะวันออก ผ่านเนปาล บังกลาเทศ ภูฏาน และตอนเหนือสุดของพม่า เข้าสู่ประเทศจีนในเวลาประมาณ 8:05 น. โดยผ่านเฉิงตูและนครเซี่ยงไฮ้

เงามืดลงสู่ทะเลจีนตะวันออก พาดผ่านทางเหนือของหมู่เกาะริวกิวและอิโวะจิมะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น แล้วเริ่มบ่ายหน้าลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จุดที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุดอยู่ในมหาสมุทรด้วยระยะเวลานาน 6 นาที 39 วินาที โดยเกิดขึ้นในเวลา 9:29 น. ใกล้หมู่เกาะโบนิน นับว่ายาวนานที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21

ช่วงท้ายของปรากฏการณ์ เงามืดผ่านเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะมาร์แชล ก่อนจะสิ้นสุดในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเวลา 11:18 น. ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ตกเป็นระยะเวลานาน 3 นาที 9 วินาที สุริยุปราคาในวันนี้จะสิ้นสุดเมื่อเงามัวของดวงจันทร์หลุดออกจากผิวโลกใน เวลา 12:12 น. ใกล้เกาะวอลลิสและฟูตูนา ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ในมหาสมุทรแปซิฟิก

บริเวณที่เห็นสุริยุปราคา บางส่วนครอบคลุมส่วนใหญ่ของทวีปเอเชีย มหาสมุทรแปซิฟิก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นทางใต้ของอินโดนีเซีย ภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนของประเทศไทย มีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากกว่าภาคอื่น ๆ ซึ่งตรงข้ามกับสุริยุปราคาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยดวงอาทิตย์จะเริ่มแหว่งทางซ้ายมือด้านบนและไปสิ้นสุดทางซ้ายมือด้านล่าง


ตารางการเกิดสุริยุปราคาในจังหวัดต่างๆ
http://thaiastro.nectec.or.th/...lipses/200907tse-thailand.html
ไปเจอบทความนี้มาครับเห็นว่าหน้าสนใจดีเลยเอามาให้ได้อ่านกันในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก จึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้ เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันครับ

1) อินเทรนด์ ( in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า " มันทันสมัย " คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า " ทันสมัย " ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย , a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ ( over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

"He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์
"No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดัง นั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น
ส่วนหนัง ที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" ( ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำ บรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/ คำหวงห้าม/ television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด ( record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ " เร็ค-คอร์ด " เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง , I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า " รี-คอร์ด " เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า ? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me. " หรือ "All is on me. " หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม ( jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า " แจม " น่าจะหมายถึง " ร่วมด้วย " เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย ? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

เจ๋ง เขามีแบ็ค ( back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อผมล เป็นกำลังใจให้

ที่มา: En Jar
เจ้าของบทความ:ไม่ทราบชื่อ
คนไทยใช้อินเตอร์เนทกันมากขึ้นทำให้ตลาดด้านนี้พลอยโตไปด้วยแต่มันก็ยังไม่มากพอ เพราะเหตุผลที่ว่าคนไทยกลัวอะไรที่จับต้องไม่ค่อยได้ผมขายของทางอินเตอร์เนทแรกๆก็ไม่มีใครเชื่อขนาดแม่ตัวเองยังไม่เชื่อเลยอะคิดดูดิ
แต่พอขายได้บ้างคนที่บ้านก็เริ่มถามว่าทำได้จริงหรือ เป็นแชร์ลูกโซ่ใหม เออคือ ผมขายเสื้อนะมันเป็นแชร์ลูกโซ่ตรงใหนหว่า พอไปสอนดันถามผมว่าเอาค่าหัวคิวเท่าไหร แล้วไอ้งานที่บอกว่าส่งเมล์ได้วันละ500-1000เหมื่อนของเราใหมเลยทำให้รู้ว่าอาจเพราะโฆษณาแบบนี้เยอะเลยทำให้คนไทยกลัวการซื้อขายทางอินเตอร์เนทไปด้วย

ผมกำลังสงสัยว่าทำไมคนไทยไม่นิยมสินค้า otop หรือเป็นเพราะว่ามันไม่สวยก็ไม่หน้าใช่หรือว่าไม่ดีก็ไม่หน้าจะใช่อีกแต่ อาจเป็นเพราะไม่มีใครโปรโมตพอจบกระแสก็หายเข้าป่าไป ไม่มีการโฆษณาให้ได้เห็นกันทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนก็ดี เลยทำให้กลุ่มคนที่ทำสินค้าotopได้รับผลกระทบไปด้วย ผมเลยมีความคิดที่จะเอาสินค้าotopของไทยมาลงใน blog,facebook,twitter ของผม อาจช่วยอะไรใครไม่ได้แต่ขอให้ผมได้ช่วยก็ยังดีครับ ไทยไม่ช่วยไทยแล้วใครจะช่วยเรา
ในวันที่ 22 ก.ค.2552 จะเกิดสุริยุปราคา ขึ้น บ้านผมก็เตรียมใหว้กันเลยงับในขณะมี่อีกซีกของโลกนั้นวันที่ 20 ก.ค สหรัฐกำลังฉลอง 40 ปีที่ นีล อาร์มสตรองได้ขึ้นไปเหยียบดวงบนจันทร์ได้สำเหร็จ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นโลกใบเดียวกันหรือป่าวนะ

สุริยคราส 22 ก.ค.นี้ หมอดูบ้านเราบอกใว้ว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ราหู โคจรอยู่ในระนาบเดียวกัน จะเกิดเรื่องร้ายต่อคนที่มีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญของประเทศ รวมทั้งประชาชนจะประสบภัยพิบัติทางน้ำ อาจมีตายหมู่ ส่วนการเมืองจะไม่รุนแรง สามารถผ่านพ้นไปได้

ผมก็นับว่าเป็นคำเตือนที่ดีครับไปดูคำกล่าวของอีกฝั่งบ้างครับ

ผมมีคำกล่าวของ นีล อาร์มสตรอง ที่เคยกล่าวประโยคอมตะขณะเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลกว่า “นี่คือก้าว เล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ มนุษยชาติ”
อย่างไรก็ตาม สหรัฐเตรียมส่งนักบินอวกาศกลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง ภายในปี 2563 เพื่อตั้งฐานปฏิบัติการที่มีมนุษย์ประจำการสำหรับเดินหน้าภารกิจสำรวจดาว อังคาร ภายใต้ชื่อโครงการคอนสเทลเลชัน แต่เริ่มเกิดกระแสไม่แน่ใจเกี่ยวกับโครงการนี้ เมื่อประธานาธิบดีโอบามาสั่งตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด เพราะโครงการนี้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.1 ล้านล้านบาท)

แปลกดีนะครับที่เราอยู่โลกใบเดียวกันแต่อะไรหลายๆอย่างช่างต่างกันนัก
ผมเจอบทความนี้นานมากแล้วเห็นว่าบทความนี้ควรเอามาให้อ่านกัน ยังไงลองอ่านกันดูนะครับ
"ศิริวัฒน์แซนด์วิช" เริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน 2540 เมื่อนายศิริวัฒน์ และภรรยา (คุณวิไลลักษณ์) ได้เริ่มทำและขายแซนด์วิช 20 ชิ้นแรกในวันที่ 20 เมษายน 2540 โดยใช้เวลาขายทั้งหมด 6 ชั่วโมง ครึ่ง
นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อายุ 59 ปี เคยเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) และนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในตลาดหุ้น เขาเคยทำกำไรจากตลาดหุ้นมากมาย จนกระทั่งตลาดหุ้นตกต่ำลงพร้อมกับโครงการคอนโดมิเนียมหรู ในปี 2540 พนักงานที่เหลืออยู่กับเขา จำนวน 20 คน ได้แจ้งความประสงค์ที่จะทำงานอยู่กับเขา ทั้งๆที่เขาได้สูญเสียเครดิตทางด้านการเงินพร้อมกับความร่ำรวย เขาและภรรยาจึงได้ตัดสินใจที่จะลดค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้นเงินเดือนของพนักงาน) เพื่อความอยู่รอด เช่นได้ขอยกเลิกการเช่าออฟฟิศเดือนละ 100,000 บาทเหลือเพียงแค่เช่าทาวน์เฮาส์ เดือนละ 15,000 บาท ภรรยาของเขาเป็นคนเสนอแนะให้ทำและขายแซนด์วิช




ทุกวันนี้ ทาง “ศิริวัฒน์แซนด์วิช”ได้กำลังพัฒนาและพยายามเพิ่มสินค้าและบริการให้มากขึ้น เช่น ซึชิข้าวกล้อง (ข้าวกล้องห่อสาหร่าย), ปิต้าแซนด์วิช, ข้าวตัง, ขนมปังอบกรอบ, หนังสือไม่ยอมแพ้, หนังสือนับหนึ่งใหม่, Coffee Corner, Coffee Catering และ ร้าน เช้า-กลางวัน-เย็น นายศิริวัฒน์ยังคงขายแซนด์วิช เพื่อเลี้ยงพนักงานเก่า(ถึงแม้ว่าจะมีออกไปบางคน) และ คนตกงานบางคน ซึ่งเขาเข้าใจถึงสภาพของคนเหล่านั้นดี สำหรับเขาแล้วเขายังคงดิ้นรนต่อสู้ด้วยความหวัง เนื่องจากประชาชนคนไทยยังคงให้ความช่วยเหลือเกื้อหนุนเขาอยู่ และสัญลักษณ์ "ศิริวัฒน์แซนด์วิช" ที่เป็นรูปเงินบาทลอยตัวกับลูกบอลลูนนั้น เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกแล้ว โดยผ่านสำนักข่าวโทรทัศน์ต่างประเทศ เช่น CNN, BBC World, CNBC, NHK และอื่นๆ อีก 99 ครั้ง และสื่อมวลชนในประเทศอีกกว่า 140 ครั้ง เขาเหล่านั้นต่างขนานนามให้แก่นายศิริวัฒน์ว่า"THE SANDWICH MAN" และ"MR. SANDWICH OF THAILAND”

http://www.sirivatsandwich.com/history/history_th.asp
วันนี้ไปเก็บภาพที่หน้าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ดูกันครับกับภาพหาดูยาก สิงโตพันธุ์พื้นเมืองไทย ที่เราเคยมีกับเขาด้วยหรือด้วยความที่สนใจเลยกดเข้าไปดูพระเจ้า นี้มัน....ตามภาพเลยครับ











นี้มีนดักกันชัดๆเลยนะนี้ทำไมถึงทำกะชั้นได้
ได้บทความนี้มาจากwebboardที่เข้าประจำเห็นว่าหน้าสนใจดีเลยเอามาให้ได้อ่านกันครับ

1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง

3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้นการเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆสัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากรสชาติที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือ การไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า “ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ”

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทานไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าจะพูดคำว่า จะเอายังไง

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้น เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้

14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ แล้วฉีกทิ้ง (หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่น
สักพัก)ความเกลียดจะเบา บางลงเรื่อยๆ

16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆจะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน

19. ถึงเสื้อและกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใสสลับกันไปเรื่อยๆก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน...ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร

24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆคนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

credit http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,70058.0.html