ขับเคลื่อนโดย Blogger.
แฟนบอกว่าเรารำเอียงเขียนแต่ตำนานภาคอื่นไม่ยอมลงใต้ซะที่ เอาก็เอา เอาบ้านแฟนเราก่อนเลย
เมืองคนดีนครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าไปเยือนมากเมืองหนึ่งนอกจากจะมีป่าไม้ที่ อุดมสมบูรณ์และสวยงาม เช่นเขาหลวง(ผมกลัวเขานี้จัง) หรือชุมชนพัฒนาตัวอย่างที่บ้านคีรีวง ที่เมืองนครฯก็ยังเป็นแหล่งศิลปะวัฒนธรรม ทั้งหนังตะลุง โนรา ที่แฝงไว้ด้วยคติธรรม และเป็นเมืองพุทธในแดนใต้ ดังมีพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มรดกทางวัฒนธรรมที่เมืองนครมีอยู่ในปัจจุบันนั้นได้รับการสะสมมาจากประวัติ ศาสตร์อันยาวนานกว่า 1800 ปี

“ตามพรลิงค์” คือแคว้นที่เคยตั้งอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชปัจจุบัน ได้รับการบันทึกอยู่ในเอกสารมิลินทปัญหาของอินเดียตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 5 และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พ่อค้าจากอินเดีย จีน ตะวันออกกลาง ด้วยเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรที่กั้นน่านน้ำทั้งสองด้าน จึงเหมาะที่จะเป็นเส้นทางแลกเปลี่ยนสินค้าจากทั้งสองฝั่งสมุทร และประกอบกับมีอ่าวที่เป็นท่าจอดเรือได้ พร้อมกันนั้นศาสนาพราหมณ์ก็ได้แพร่เข้ามาด้วย พบหลักฐานมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-14

ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 14-16 อาณาจักรศรีวิชัยที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองครหิ ไชยา มีอำนาจปกครองเหนือดินแดนแถบคาบสมุทร พุทธศาสนานิกายมหายานจึงได้แพร่เข้ามาที่แคว้นตามพรลิงค์ด้วย

เมื่อ เข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 17-18 แคว้นตามพรลิงค์รุ่งเรืองสูงสุด ผู้ครองแคว้นตั้งตนเป็นกษัตริย์ทรงนามพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พร้อมกันนั้นได้สถาปนาราชวงศ์ปทุมวงศ์ และแผ่อิทธิพลรวมทั้งพุทธศาสนาไปยังเมืองต่างๆในภาคใต้ จนเป็นที่ยอมรับว่านครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น

เมืองนครศรีธรรมราช หรือ นครอันเป็นสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม รุ่งเรืองอยู่ประมาณร้อยกว่าปี และเสื่อมลงเมื่อยกทัพไปตีเมืองลังกา และโจรชวาถือโอกาสเข้าปล้นเมืองถึง 3 ครั้งประกอบกับเกิดไข้ห่าระบาด จึงเป็นเหตุให้บ้านเมืองถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งสมัยอยุธยา ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งบ้านเมืองใหม่อีกครั้ง และนครศรีธรรมราชได้กลายมาเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรอยุธยา

ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงรัชกาลที่ 5 ได้มีการแก้ไขการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ใหม่ นครศรีธรรมราชได้เปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2439 จนกระทั่ง พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงได้ยุบมณฑลนครศรีธรรมราชและเปลี่ยนมาเป็นจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน พอประมาณนะครับถ้ายาวกว่านี้กลัวจะไม่อ่านกัน
มีน้องในโครงการต้นกล้าอาชีพที่ผมไปเรียนส่งรุปมาให้ ผมเลยเอามาลงให้เป็นต้นกล้าacademy ไปซะงั้นเลย นี้รูปน้องเขาครับ
เอกลักษณ์ ที่โดดเด่นหัวต้องแดงใว้ก่อน

น้องคนนี้ชื่อโยครับ

นั้นมั่นใจได้อีก

กล้องที่ใช้เป็นกล้องมือถือครับ i-mobile 625 มั้งนะผมก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นคนที่ขยันมาเรียนพอสมควรเลยแล้วจะเอารูปน้องๆที่เหลือมาให้ดูครับ

ผมไปเจอเข้าที่บอร์ดของเว็บthaiseoเห็นว่ามันเปนข่าวที่หน้าสนใจสำหรับผม และคิดว่าอยากจะช่วยเขาเลยเอาเรื่องนี้มาลงที่บล็อค เรื่องโทรศัพท์พื้นฐานและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าไม่ถึงพื้นที่บ้าน ม.2 ต.ตลิ่งชัน อ.เมือง จ.สระบุรี เพียงเพราะไม่สามารถลากสายเคเบิ้ลข้ามทางรถไฟได้! และชมแผนที่ภาพถ่ายทางดาวเทียมบริเวณพื้นที่หมู่ 2 ตำบลตลิ่งชันที่มีปัญหาไม่มีบอร์ดแบนด์อินเทอร์เน็ตเพราะ ลากสายเคเบิ้ลมาไม่ได้!ที่รูปด้านบนครับเอาใจช่วยนะครับ คนไทยเดือดร้อนไม่มีใครช่วยได้นอกจากคนไทยด้วยกัน
อันนี้ช่องทางรายละเอียด hxxp://mysaraburi.com (ตรงxxเปลี่ยนเป็นttนะครับ)
มีเพื่อนถามว่าทำไมไม่เอาตำนานเกี่ยวกับบ้านตัวเองมาลงบ้าง ผมเลยคิดว่าเอามาลองซักเรื่องก่อนละกันเรื่องนี้เลยครับ ตำนาน นางกวัก
ตำนานเล่ากันว่า ปู่เจ้าเขาเขียวพันธมิตรร่วมกับท้าวอุณาราช ยักษ์ผู้ทรงฤทธิ์ ได้ส่งลูกสาวคนเดียวที่ชื่อนางกวัก ไปช่วยเหลือดูแลนางประจันทร์ เหตุเพราะนางประจันทร์คอยดูแลบิดา
คือ ท้าวอุณาราช ที่ถูกศรพระรามปักกลางอกแล้วสาปเอาไว้ที่เขาวงพระจันทร์อย่างทุกข์ทรมาน
หลังจากนางกวักมาอยู่กับนางประจันทร์แล้ว ชาวเมืองที่เคยเกลียดชังท้าวอุณาราชกลับหามีความคิดเยี่ยงนั้นต่อไปไม่ แม้สำนักของนางประจันทร์จะทุรกันดารปานใด ประชาชนพลเมืองก็ยังเดินทางมาอย่างไม่ย่อท้อ พากันเอาลาภสักการะแก้วแหวนเงินทองมาสำนักของนางประจันทร์ผู้ที่มีความ กตัญญูต่อบุพการีอย่างมาก
ด้วยเหตุจูงใจอย่างนี้ โบราณาจารย์ผู้ชาญฉลาดจึงได้สร้างเครื่องรางเป็นรูปนางกวักขึ้นในลักษณะนั่ง ยกมือขวาครองผ้าสไบเฉียง บูชาด้วยทัพสัมภาระต่างๆ เสกด้วยคาถาหัวใจนางกวัก จนมือขยับไปมาหน้าหลังได้แล้วจึงเสร็จพิธี
หลายเกจิคณาจารย์ผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา มีทั้งสร้างจากไม้แกะและสร้างจากงาแกะในรูปแบบลักษณะศิลปะที่มีความแตกต่าง กันออกไป ขนาดของนางกวักจึงมีความแตกต่างกันออกไป บางนางมีขนาดใหญ่สำหรับตั้งโต๊ะบูชา บางนางมีขนาดเล็กสำหรับห้อยคอ
ด้วยคติที่เชื่อกันว่านางกวักเมื่อนำมาบูชาแล้วต้องสักการะด้วยน้ำแดง อาหารคาวหวานบ้างตามแต่เหตุปัจจัย จะทำให้ธุรกิจร้านค้านั้นเจริญรุ่งเรือง
หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน จ.สมุทรสาคร ท่านเป็นพระเกจิขลังศักดิ์สิทธิ์อีกรูปหนึ่ง คราวหนึ่งท่านไปงานบ้านโยมละแวกตลาดในเมือง ครั้นถึงเวลาที่จะต้องเจิมร้านเพื่อเป็นสิริมงคลในวันเปิดร้านใหม่ ทางเจ้าภาพไม่ได้ตระเตรียมบันไดให้ท่านขึ้นไปเจิม เพราะว่าป้ายร้านอยู่สูงมาก ท่านจึงบอกศิษย์ว่าไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวทำให้เอง
หลวงปู่ยืนนิ่งกำหนดองค์ภาวนาหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ๆ หน้าของท่านเริ่มแดงเป็นสีฝาดแววตาเป็นประกายบ่งบอกถึงความเมตตา แล้วท่านก็สั่งให้ศิษย์ที่ติดตามท่านเอาแป้งเจิมดินสอพองผสมน้ำมันจันทน์หอม มา แล้วหลวงปู่เอานิ้วชี้มือขวาจุ่มแป้งเจิมมาเขียนอักขระยันต์กลางฝ่ามือซ้าย ปลายมือหันไปทางป้ายร้าน กำกับด้วยคาถาหัวใจแล้วเป่าลงไปที่กลางฝ่ามือ..เพี้ยง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
เพราะทุกคนเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันว่ายันต์ที่เขียนบนฝ่ามือหายไป แต่ไปติดอยู่ที่แผ่นป้ายหน้าร้านอย่างอัศจรรย์ ศิษย์ถามว่าหลวงปู่ใช้ยันต์อะไร ท่านตอบว่าใช้ยันต์หัวใจนางกวัก อีก 5 วันเจ้าของร้านไปกราบเล่าความให้หลวงปู่ฟังว่า ตั้งแต่วันเปิดร้านเป็นต้นมาค้าขายดีผิดหูผิดตา หลวงปู่รอดจึงดำริสร้างนางกวักจากไม้ไผ่สีสุกแต่จำนวนไม่มาก ให้แก่ศิษย์ที่ทำการค้าขาย
แต่นางกวักของหลวงปู่ที่สร้างขึ้นนี้มีขนาดเล็กสำหรับห้อยคอ แกะแล้วจุ่มรักปิดทองอร่ามสวย แต่ลายละเอียดไม่มากนัก ด้วยเป็นฝีมือแกะของช่างชาวบ้านที่เป็นลูกศิษย์ ชาวสมุทรสาครต่างหวงแหนนักหากบ้านใครมีนางกวักของหลวงปู่รอด ด้วยเพราะเป็นของเก่าและหายากกว่าเครื่องรางชนิดอื่นๆ ของท่าน ใครเป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวคนใหม่น่าจะหานางกวักไปตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ ให้นางช่วยกวักเรียกนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเมืองไทยเยอะๆ แทนรูปปั้นรามเกียรติ์ คงจะดีไม่น้อย

ภาพหน้ากลัวไปหรือป่าวหว่า
ที่มา ไทยโพสต์
มาเล่าเรื่องโครงการต้นกล้าอาชีพของเทคนิคสมุทรสาคร ตอนที่3แล้วนะครับ กับการไปเรียนในโครงการนี้ขอบอกว่า....ผมได้เจอยอดยามแล้วครับสุดยอดแห่งความกวน....เลยครับแต่แกก็ทำตามหน้าที่ได้ดีตรงดังไม้บรรทัดเลยครับ ขอนับถือ ผมและเพื่อนๆไม่สามารถกลับบ้านได้ก่อนเวลาได้เลยเพราะพีแกจะไปฟ้องตลอดว่าต้นกล้ากลับเร็วบ้างหรือมาสายบ้างอันนี้ผมเข้าใจครับผมผิด อิอิ เข้าเรื่องดีกว่า เรียนมา9วันแล้วครับก็พอประกอบและซ่อมคอมได้(นิดหน่อยหละ) ตอนนี้ได้ลองปริ้นเตอร์แล้วครับ ขอบอกว่าผมไม่มีความสามารถจริงๆ มันยากกว่าที่คิดนะเท่าที่ไปลองยืนดูเพราะไม่กล้าทำกลัวว่าจะพังไปกว่าเดิม นี้น้องสกาของเราเท่านั้นที่พอทำได้ นอกนั้นมึนเลย อิอิ (ถ้าทำได้จะมาเรียนหรือ) แล้วมาดูกันครับว่าครบ20วันแล้วพวกผมจะทำอะไรกันได้บ้างที่ช้าเพราะพวกผมหยุดเสาร์และอาทิตย์ครับ
เนื่องจากเมื่อกี้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบาสเกตบอลไปแล้วเลยอยากกล่าวถึง รายละเอียดเล็กที่นักบาสหรือคนที่สนใจควรจะรู้ ส่วนภาพข้างนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทีมอะไรเหมือนกันครับแต่เป็นคนไทยครับ

บันทึกของโอลิมปิกสากลระบุไว้ว่า กีฬาบาสเกตบอลเริ่มนำเข้ามาในเมืองไทย ครั้งแรกเมื่อปี 2477 โดยครูชาวจีนชื่อ นายนพคุณ พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีนโรงเรียนมัธยมบพิตรพิมุข ได้แปลกติกากีฬาบาสเกตบอลให้กับกรมพลศึกษา เพื่อนำไปอบรมครูฝึกสอนต่อไป มี พ.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศล นักเรียนนอกจากสหรัฐอเมริกาและผู้เล่นระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐ เป็นผู้นำไปเผยแพร่การเล่นในระดับวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ
กระทั่งได้รับความนิยมมากขึ้นจนตั้งเป็นสมาคมบาสเกตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศ ไทย และได้รับการรับรองจากสมาคมบาสเกตบอลนานาชาติได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2496 ในกรุงเทพมหานคร เริ่มจัดการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลประจำปีระหว่างนักเรียนชายขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2477 สมัยที่ น.อ.หลวงศุภชลาศัย ร.น. ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา
ย้อนไปได้ไกลกว่านี้ นายมนัส โอภากุล บันทึกไว้ว่า ในขณะที่เรียนอยู่ระดับประถมที่โรงเรียนป้วยเอ็ง (เผยอิง) เมื่อปี 2470 ก็ได้เล่นบาสเกตบอลแล้ว และเมื่อปี 2475 มีการจัดการแข่งขันกีฬาสากลของโรงเรียนจีนทั่วประเทศ ทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนที่เขาเป็นหัวหน้าทีมได้รางวัลชนะเลิศ และดังถึงขนาดทีมมหาวิทยาลัยกั๊กเจี๊ยะ จากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และมหาวิทยาลัยหนานหยาง จากประเทศสิงคโปร์ เดินทางมาร่วมแข่งขันด้วย
ผู้ที่มีบทบาทเผยแพร่บาสเกตบอลในประเทศไทยมากอีกกลุ่มหนึ่งคือสมาคม ชาวอเมริกัน "วายเอ็มซีเอ (Y.M.C.A.)" เริ่มเล่นที่สนามของสมาคมแถววรจักร จากนั้นก็ขยายกันออกไปในกลุ่มคนจีนตามโรงเจทั้งหลาย จะมีสนามบาสทั่วไป ถึงต่างจังหวัดอย่าง จ.พิษณุโลก จ.นครราชสีมา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อ.จันดี อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แล้วที่ภาคใต้ก็แพร่หลายถึงขนาดจัดการแข่งขันชิง "ถ้วยทองคำ" ทองคำแท้ๆ และผู้เล่นทีมชาติส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กที่มาจากจังหวัดเหล่านี้ทั้งนั้น ที่กรุงเทพฯ ก็มีการแข่งขันชิงถ้วย "เจียงหวย" หรือถ้วยสมาคมจีน ที่จริงเรียกกันโรงเรียนสาทร จัดเป็นประจำทุกปี คนแน่นเต็มไปหมด แล้วก็ยังแข่งที่หน้าศาลาว่าการ กทม. ที่เรียกกันว่า "สนามเสาชิงช้า" ผู้เล่นจะเป็นระดับเริ่มต้นที่เฟื่องฟูมาก

-------------------ทีมบาสไทยเคยแข่ง "โอลิมปิก" มาแล้ว 3 ครั้ง------------------------

ถ้ากล่าวถึงทีมบาสเกตบอลระดับโลกแล้ว ต้องยอมรับว่าทีมสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าแห่งกีฬายัดห่วงนี้ แล้วยังเป็นกีฬาประจำชาติของสหรัฐด้วย ไม่ใช่พูดกันลอยๆ แต่จากสถิติเหรียญทองกีฬาระดับโลก อย่างเหรียญทองโอลิมปิก ตั้งแต่ปี 2479-2543 ทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศเหรียญทองมากที่สุดคือ ทีมสหรัฐ คว้าไปถึง 11 สมัย ทีมสหภาพโซเวียต คว้าไป 2 สมัย ที่สอดแทรกขึ้นมาได้ 1 สมัยเหนือสหรัฐ ก็คือทีมจากยุโรปตะวันออกอย่างทีมยูโกสลาเวีย
สำหรับทีมบาสเกตบอลจากประเทศไทยนั้น ทำได้ดีที่สุดคือติดอันดับ 15 ของกีฬาโอลิมปิก ในการเข้าร่วมการแข่งขันเมื่อปี 2499 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย สำหรับทีมจากประเทศในเอเชียนั้น เคยติดอันดับ 1 ใน 10 ของระดับโลกมาแล้ว จากเอกสารของคณะกรรมการโอลิมปิกรวบรวมไว้นั้น ทีมจากเอเชียที่ติดอันดับคือ ฟิลิปปินส์ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี บันทึกของโอลิมปิกสากลระบุไว้ว่า กีฬาบาสเกตบอลเริ่มนำเข้ามาครั้งแรกเมื่อปี 2477 โดยครูชาวจีนชื่อนายนพคุณ พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีน โรงเรียนมัธยมบพิตรพิมุข แปลกติกากีฬาบาสเกตบอลให้กรมพลศึกษาเพื่อนำไปอบรมครูฝึกสอน ต่อมา พ.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศล นักเรียนนอกจากสหรัฐอเมริกาและผู้เล่นระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐ เป็นผู้นำไปเผยแพร่การเล่นในระดับวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ
ได้รับความนิยมมากขึ้นจนตั้งเป็นสมาคมบาสเกตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และได้รับการรับรองจากสมาคมบาสเกตบอลนานาชาติสำเร็จเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2496 เพียง 2 ปีหลังจากนั้น ทีมบาสเกตบอลไทยก็เดินทางไปร่วมการแข่งขันระดับโอลิมปิกครั้งแรก แล้วยังมีโอกาสส่งทีมบาสเกตบอลไปร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกอีก 2 ครั้งคือ การแข่งขันที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2503 และการแข่งขันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2507
จากเอกสารโอลิมปิกสากล ระบุว่า ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2499 ทีมสหรัฐทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้สูงถึง 100 แต้ม และเฉลี่ยคะแนนชนะคู่แข่งขันกว่า 53.5 แต้ม ในการแข่งขันครั้งนี้ทีมสหรัฐชนะทีมไทย 101-29 แต้ม ทีมจากเอเชียที่เข้าร่วมแข่งขัน คือ ชนะทีมญี่ปุ่น 98-40 แต้ม ชนะทีมฟิลิปปินส์ 121-53 แต้ม
ทีมจากสหรัฐคว้าเหรียญทองชนะรวด 8 ครั้ง ส่วนทีมไทยนั้น มีสถิติระบุไว้ว่าแข่งขันทั้งสิ้น 7 ครั้ง แพ้ทั้ง 7 ครั้ง ในเอกสารที่ค้นได้บันทึกไว้ว่า ทีมไทยแพ้ทีมฟิลิปปินส์ 55-94 (24-34) ในการแข่งขันเมื่อปี 2507 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทีมไทยแพ้ทีมฟิลิปปินส์ 71-98
นี่คือบันทึกของโอลิมปิกสากล เกี่ยวกับการแข่งขันของทีมบาสเกตบอลไทยที่ไปร่วมการแข่งขันกีฬาระดับโลก อย่างกีฬาโอลิมปิก 3 ครั้ง ตั้งแต่นั้นมาทีมบาสเกตบอลไทยก็ไม่เคยไปร่วมการแข่งขันอีกเลย
นักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไทยที่เคยไปร่วมทีมแข่งขันระดับโอลิมปิกมาแล้ว ปีกซ้ายชื่อดังในยุคโน้น นายวัฒน์ ธีปฏิมากร ขณะนี้อายุ 71 ปีแล้ว แต่ยังคงออกกำลังกายเป็นประจำด้วยการเล่นบาสเกตบอล เคยร่วมทีมสองครั้งเมื่อปี 2503 และ 2507 เขาย้อนรำลึกว่า "ทีมชาติไทยยุคนั้น ถือว่าเป็นทีมระดับนำของเอเชีย มีคู่แข่งที่สำคัญและผู้ชมให้ความสนใจมาก อย่างทีมฟิลิปปินส์ ทีมญี่ปุ่น และทีมเกาหลี ผลัดกันแพ้ชนะในเกมการแข่งขันทุกระดับ" คุณวัฒน์ บอกอีกว่า "ผมขนลุกเลยครับที่ได้ไปร่วมแข่งขันครั้งนั้น โดยเฉพาะในพิธีเปิดและปิดการแข่งขัน ทีมกีฬาเดินเป็นขบวนเข้าไปในพิธี มีผู้คนต้อนรับเต็มไปหมดสองข้างทางถนน มีเสียงตบมือให้เกียรติตลอดเวลา และนักกีฬาแลกเปลี่ยนลายเซ็นกันอย่างเป็นกันเอง เป็นความทรงจำตลอดชีวิตจนถึงวันนี้"
ที่ฮือฮามากในระดับโอลิมปิกอีกเรื่องเกี่ยวกับนักกีฬาบาสเกตบอล คือบันทึกของโอลิมปิก เขียนไว้ว่า นายวีระชัย ธนสุกาญจน์ พ่อของ "แทมมี่" แทมมารีน ธนสุกาญจน์ นักเทนนิสติดอันดับของไทย ที่เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกในนามทีมชาติไทย พ่อลูกคู่นี้ได้รับความสนใจมาก เพราะผู้เป็นพ่อ นายวีระชัย เคยเป็นนักบาสเกตบอลทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกมา 2 ครั้งเมื่อปี 2503 และปี 2507 จึงได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงชาติไทย นำทีมชาติไทยเข้าสนามแข่งขันโอลิมปิกที่โอลิมปิกสเตเดี้ยม ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา พ่อและลูกเป็นนักกีฬาโอลิมปิกทั้งคู่
รัชเดช เครือทิวา หรือ โอม หรือ J.O. หนุ่มไทยที่มีความฝันอันแรงกล้า และเพิ่งเริ่มเข้าสู่บาสเก็ตบอลอาชีพในสหรัฐอเมริกา ในพี.บี.แอล.ลีก (Premier Basketball League) ซึ่งเป็นความฝันของนักบาสเกตบอลอีกหลายคนทั่วโลก

ด้วยความสูง 6'4" และน้ำหนัก 185 ปอนด์ เขามองตัวเองว่าเป็นคนร่างเล็กเมื่ออยู่ในทีม Nighthawks รัฐแมรี่แลนด์ แต่ความมุ่งมั่นและกำลังใจจากเพื่อนร่วมทีม รวมทั้งคนไทยในวอชิงตัน ดี.ซี. และรัฐใกล้เคียงทำให้เขามีกำลังใจในการแข่งขัน และจะมุ่งฝึกซ้อมอย่างเต็มที่
สำหรับผมแล้วแค่คนเห็นคนไทยทำอะไรดีๆผมก็ดีใจแล้วครับ
ตำนานเพชรพระอุมา นวนิยายไทยที่เป็นที่สดของหลายๆเรื่องก็ว่าได้
เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน

เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม) แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2541 และทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2544 และตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2547

โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส (King Solomon's Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา

แค่ประวัติก้ยาววะขนาดนี้แล้ว ่นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย !!! ถ้าท่านเป็นคนติดอะไรง่ายๆ อย่าได้ริลองเป็นอันขาด เพราะนี่คือสิ่งเสพติดอย่างหนึ่ง แค่ได้ลองครั้งเดียว ก็ติดแล้ว ติดง่ายมาก เราเตือนท่านแล้ว ถ้าไม่แน่จริง อย่าได้ริลองเป็นอันขาด ถ้าได้อ่านแล้วถ่านอาจจะรักนวนิยายไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะคนสมัยนี้ถ้าถามว่าอ่านเพชรพระอุมาใหมอ่านตอบว่าไม่เพราะไม่รู้จักแต่ถ้าถามว่ารู้จัก Harry Potter ใหม่คงรู้จักกันเป็นอย่างดี่แต่ผมแนะนำว่าลองไปอ่านก่อนแล้วจะรุ้ว่าทำไมนวนิยายเรื่องนี้ถึงเป็นที่กล่าวขาน hxxp://www.petprauma.com/content/content01.html (ตรงxxคือttครับ) เป็นเว็บแฟนแท้ๆเพชรพระอุมาครับ ขอให้สนุกนะครับ
เมื่อไม่นานนี้ผมได้เล่าถึงโครงการต้นกล้าอาชีพ ของจังหวัดสมุทรสาคร และได้มีคนสอบถามเข้ามาว่า ที่ๆผมเรียนนั้นคนเยอะใหม ได้เงินใหม อื่มๆ ผมคิดว่าก้เยอะนะครับเพราะมันก้เกิรตรึ่งหนึ่งมาแล้วอะก้ปาเข้าไป12คนรับ เต็ม20 แต่อีก8คนนี้ซิหายไปใหน 8คนนี้ทำให้คนไม่มีงานทำอดได้ไปเข้าร่วมโครงการดีๆ ได้ฝึกอาชีพได้มีโอกาศต่างๆอีกมากมาย แล้วเห็นอีกหายๆคนบอกว่า ที่ๆเขาเรียนอยู่นั้นไม่สามารถเปิดได้ เพราะคนไม่พอยิ่งหน้าคิดไปอีกว่าถ้าไม่อยากได้หรือยากมาเรียนแล้วสมัครไปทำไม แต่เขาอาจมีเหตุผลนะ

เข้าเรื่องดีกว่าผมไปเรียนได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ได้ความรู้มาพอสมควรเหมือนกันบวกกับได้ไอเดียบางอย่างจากคนทีไปร่วมเรียนด้วยกันมาทำเว็บของตัวเอง ได้ผลพลอยได้มาเยอะเหมือนกันครับ เพราะได้เพื่อนเพิ่มมาอีก11คนเนอะ อิอิ น้องๆเขาเก่งกันทุกคนเลย ที่เรียกน้องๆเพราะผมแก่อยู่คนเดียวนะซิตอนนี้ ผม24เองน่า ทำไมรู้สึกว่าเรามันแก่หว่าอาจเป็นเพราะสถานที่ไปเรียนมีแต่เด็กๆมั้ง ก็เทคนิคสมุทรสาครนิ รอเรียนครบ20วันก่อนจะทำเว็บสอนซ่อมคอมออนไลน์ กับเขาบ้าง เตรียมกล้องใว้พร้อมแล้วด้วย

ส่วนเสื้อข้างบนนั้นคือแบบเสื้อต้นกล้าฯ มัคคุเทศก์ ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา เอามาให้ดูเพราะเห็นว่ามันสวยดีครับอยากได้แบบนี้มั้งจัง