ขับเคลื่อนโดย Blogger.




เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย เข้าทำเนียบมอบเสื้อโครงการให้ อภิสิทธิ์-ครม. ขณะที่นายกฯ หนุนโครงการเต็มที่ เอาใจสุด ๆ เตรียมใส่แถลงข่าวหลังประชุมครม.ด้วยตนเอง ด้านบรรดารัฐมนตรีคึกคักแห่ซื้อเสื้อ กรณ์-จุรินทร์ ใจปล้ำควัก 2 พันซื้อเสื้อ

วันนี้(6 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ตัวแทนเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง นำโดยนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และนายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ พร้อมตัวแทนสื่อมวลชน ร่วมรณรงค์หยุดทำร้ายประเทศไทย ด้วยการสวมเสื้อ “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” โดยมอบเสื้อ”หยุดทำร้ายประเทศไทย” ให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและครอบครัวจำนวน 4 ตัว

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวขอบคุณ ก่อนจะชูเสื้อข้อความหยุดทำร้ายประเทศไทยให้ช่างภาพบันทึกภาพ พร้อมแสดงความสนับสนุนการรณรงค์ และรับปากว่า สวมเสื้อดังกล่าวเพื่อรณรงค์ในการแถลงข่าวผลการประชุมครม.ด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ ยังมีการมอบเสื้อให้คณะรัฐมนตรีคนละ 1 ตัว โดยนายกรณ์ จาติกวณิชรมว.คลัง และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ ได้ซื้อเสื้อดังกล่าวเพิ่มในราคา 2,000 บาท ด้วย ซึ่งรัฐมนตรีคนอื่นก็สนเสื้อกันอย่างคึกคัก อาทิ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง, นายโสภณ ซารัมย์, นายถาวร เสนเนียม,นายกรณ์ จาติกวณิช, นายวิทยา แก้วภารดัย, นายมานิตย์ นพอมรบดี, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์,คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช, นายไพฑูรย์ แก้วทอง และนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่รับปากว่าจะให้ทีมโฆษกทุกคนสวมเสื้อรณรงค์แถลงข่าวประชุม ครม.ด้วย

ส่วนที่ หน้าอาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น ยังได้มีการจำหน่ายเสื้อให้กับข้าราชการและสื่อมวลชน
ไม่เคยเอาข่าวการเมืองมาลงเลยจะซวยใหมหว่า


ประกาศสงกรานต์ปีพ.ศ. ๒๕๕๒

“ปี ฉลู มนุษย์ผู้ชาย ธาตุดิน เอกศก จุลศักราช ๑๓๗๑ ทางจันทรคติ เป็นอธิกวาร ทางสุริยคติ เป็นปกติ (เอกศก คือ ปีที่จุลศักราชลงท้ายด้วย ๑ และ ทางสุริยคติเป็นปกติ หมายถึง ปีนั้นๆกุมภาพันธ์มี ๒๘ วันเป็นปกติ)

วันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับ ณ วันจันทร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๐๑ นาฬิกา ๑๓ นาที ๑๔ วินาที (ถ้าดูตามปฎิทินสากล วันที่ ๑๔ เมษายน จะเป็นวันอังคาร แต่ ณ ที่นี้ ยังนับเป็นวันจันทร์เพราะยังอยู่ในช่วงตีหนึ่ง หากหลัง ๖ โมงเช้าไปแล้ว ทางโหราศาสตร์จึงจะนับเป็นวันใหม่ คือ วันอังคาร)

นางสงกรานต์ ทรงนามว่า โคราคะเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดาหาร ภักษาหารน้ำมัน พระหัตถ์ขวาพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือ หลังพยัคฆะ (เสือ)พาหนะ

วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๐๕ นาฬิกา ๐๖ นาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น ๑๓๗๑ ปีนี้ วันเสาร์เป็นธงชัย วันพุธเป็นอธิบดี วันศุกร์เป็นอุบาทว์ วันศุกร์เป็นโลกาวินาศ

ปีนี้ วันจันทร์เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๕๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๕๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๑๐๐ ห่า ตกในป่าหินพานต์ ๑๕๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๒๐๐ ห่า นาคให้น้ำ ๒ ตัว

เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๖ ชื่อลาภะ ข้าวกล้าในภูมินา จะได้ผล ๙ ส่วน เสีย ๑ ส่วน ธัญญาหาร ผลาหาร จะอุดมสมบูรณ์ (ธัญญาหาร คือ ข้าวต่างๆ / ผลาหาร คือ ผลไม้ต่างๆ)

เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีอาโป (น้ำ) น้ำมาก

จาก ประกาศสงกรานต์ข้างต้น เมื่อเทียบกับคำทำนายโบราณ จะเห็นว่า วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันจันทร์ ท่านพยากรณ์ไว้ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคุณหญิงคุณนายทั้งหลายจะเรืองอำนาจ วันอังคารเป็นวันเนา ผลหมากรากไม้จะแพง วันพุธเป็นวันเถลิงศก บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ และท่าที่นางสงกรานต์เสด็จมา คือ นอนหลับตามาบนหลังเสือ ท่านว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี

ส่วนคำทำนายทางล้านนา ถ้าวันสังกรานต์ล่องตรงกับวันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อมโนรา ปีนั้นงูจักเกิดมีมาก คนทั้งหลายจักเกิดเป็นพยาธิมากนัก ฝนหัวปีดี หางปีบ่พอดี ข้าวกล้าลางที่ดี ลางที่ก็บ่ดี คนเกิดวันอังคารมีเคราะห์ คนเกิดวันพุธมีโชค

ประมวลจากคำทำนายข้างต้น นอกจากผลหมากรากไม้จะแพง คนเจ็บป่วยและงูจะมีมากขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่า หลังสงกรานต์สภาพการณ์ต่างๆน่าจะดีขึ้น และดูมีความหวังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ถ้าจะสังเกตภาพโดยรวมของนางสงกรานต์ประกอบไปด้วย จะเห็นว่า นางสงกรานต์ปีนี้ มีนามว่า “โคราคะเทวี” อันตรงกับชื่อปีพอดี เพราะคำว่า “โค” ก็คือ “วัว” นั่นเอง อีกทั้งพระนางยังนอนหลับตามาบนหลังเสือ ซึ่งเสือนี้ แม้จะเป็นสัตว์ดุร้าย แต่ถือได้ว่าเป็นสัตว์มงคล ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ ทางจีนจึงมีรูปเสือคาบดาบไว้ที่ประตูบ้าน ดังนั้น แม้จะมีคำว่า “ราคะ” คือ ความกำหนัดยินดีในกามรมณ์ หรือการติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสต่อท้ายนาม ซึ่งคล้ายจะเป็นชื่อที่ชวนหลงลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณต่างๆ แต่เมื่อพระนางนอนหลับตามาบนหลังเสือ จึงมีนัยกลับกัน คือ กลายเป็นการเตือนให้ผู้คนอย่าหลงละเลิงไปกับสิ่งยั่วยุหรือความฟุ้งเฟ้อ ต่างๆ คือ ให้ “ราคะ”เหล่านี้ หลับหรือหยุดนิ่งไปเสีย โดยมี”เสือ”ซึ่งโดยปกติ “วัว” กลัวอยู่แล้วควบคุมอยู่ ซึ่งก็ตรงกับสภาพเศรษฐกิจในปีนี้พอดี ที่คนส่วนใหญ่คงต้องอยู่กันอย่างประหยัด ไม่สามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือมือเติบได้ และความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจก็อาจนำมาซึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เพิ่มจำนวน มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำทำนายจะดีร้ายประการใด ก็เป็นเพียงการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น หากทุกคนใช้ “สติ” ในการดำรงชีวิต และประพฤติปฎิบัติตนตามหลักศาสนาแล้ว เชื่อว่าเราก็คงเช่นเดียวกับนางสงกรานต์ปีนี้ที่มีพระขรรค์และไม้เท้าเป็น อาวุธ ที่จะช่วยป้องกันและพยุงตัวเราให้รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆไปได้


..............................

ทัศชล เทพกำปนาท นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม


หมาย เหตุ : ตั้งแต่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒ เป็นต้นไป ปีนี้ วันเสาร์ เป็นวันธงชัย ช่วงเวลา ๖.๐๐-๗.๓๐ น. /วันพุธ เป็นอธิบดี เวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๓๐น. /วันศุกร์ เป็นอุบาทว์ ช่วงเวลา ๑๖.๓๐-๑๘.๐๐ น. / วันศุกร์เป็นโลกาวินาศ เวลา ๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.

ข้อมูลและรูปจาก สำนักงานและวัฒนธรรมแห่งชาติ http://www.culture.go.th/www/th/news_detail.php?id=282

ถ้าจะกล่าวถึงยอดเขาเอเวอเรสต์นั้น หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีในนามของยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก และ
ขึ้นชื่อในเรื่องของเส้นทางอันแสนจะหฤโหดที่คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวผู้ซึ่งหลงใหลในความงามของธรรมชาติ
มานักต่อนักแล้ว แต่ก็เป็นธรรมดาที่ในทุกๆ ปีจะมีนักผจญภัยทั่วโลกมากมายที่ยอมเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับความ
ลำบาก เพื่อขึ้นไปสัมผัสถึงความรู้สึกบนยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งนี้ เพื่อจะได้ชื่อว่าเขาคนนั้นคือหนึ่งในผู้พิชิต
ยอดเขาเอเวอเรสต์

สำหรับ วิทิตนันท์ โรจนพานิช หรือ หนึ่ง ชื่อนี้คงอาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสักเท่าไร แต่ถ้าหากเอ่ยถึงในนาม
ของวีรบุรุษของคนไทยที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้นั้น หลายคนคงจะต้องร้อง อ๋อ! ขึ้นมาในทันที
เพราะเขาคือคนไทยคนแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยนำธงชาติไทยไปโบกสะบัดบนยอดเขา
เอเวอเรสต์ได้ โดยที่ไม่เคยมีใครสามารถทำได้มาก่อน

ผมเจอตัวจริงของเขาในงาน Life is A Big Journey ณ อัมรินทร์ เอาต์ดอร์ ลิมิเต็ด โซนจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์
เดินป่า กีฬาเอกซ์ตรีมของอัมรินทร์พลาซ่า ซึ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ งานนี้รวบรวมกีฬาท้าทายหัวใจมาให้
คนไทยได้ร่วมสนุก พร้อมกับจับจ่ายซื้อหาอุปกรณ์เอาต์ดอร์ที่ถูกใจ

คุณหนึ่งย้อนเล่าให้ฟังว่า ความคิดที่จะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนั้นเกิดขึ้นหลังจากได้ไปทริปกับเพื่อนๆ
แล้วพบว่าน่าจะมีคนไทยที่พิชิตเอเวอเรสต์ได้สักที จากนั้นเขาเริ่มตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับเอเวอเรสต์อย่างจริงจัง
การพิชิตเอเวอเรสต์นี้ต้องใช้เงินมากถึง 23 ล้านบาท นั่นเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยความ
มุ่งมั่นและตั้งใจ เขาจึงออกติดต่อสปอนเซอร์ ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไม่มีใครที่จะเชื่อว่าจะมีคนไทยคนไหน
ที่สามารถพิชิตเอเวอเรสต์ได้ แต่ด้วยความพยายามที่ไม่ลดละและความร่วมมือจากเพื่อนๆ ในที่สุดก้าวแรก
ของการเดินทางสู่เอเวอเรสต์ก็เริ่มต้นขึ้น

“ผมทำสิ่งนี้เพื่อเป็นของขวัญถวายแด่ในหลวง” นี่คือแรงบันดาลใจอันสูงสุดที่ผลักดันให้คุณหนึ่งสามารถ
ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ สาเหตุที่ต้องเป็นเอเวอเรสต์ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ใครหรือประเทศไหนก็ตามที่
สามารถปักธงบนยอดของเอเวอเรสต์สำเร็จ จะได้รับการยอมรับจากนานาชาติ สิ่งนี้เองที่วิทิตนันท์ต้องการทำ
เพื่อเป็นตัวอย่างกับคนไทยทุกคนให้เห็นว่า “ถ้าเราต้องการมุ่งมั่นทำอะไรจริงๆ โดยไม่ย่อท้อ สุดท้ายแล้ว
ก็จะไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้”


ในที่สุดราว 8 โมงเช้า ตามเวลาท้องถิ่นประเทศเนปาล วันที่ 22 พ.ค. 2551 ณ ระดับความสูง 8,848 เมตร นั่นคือ
จุดที่สูงที่สุดของโลก...ยอดเขาเอเวอเรสต์ อากาศเบาบางเหลือราว 30% และในวันนั้นเองก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์
กับเขา นั่นก็คืออุณหภูมิที่ควรจะติดลบ 3040 องศาเซลเซียส กลับเพิ่มขึ้นเป็นราว 10 องศาเซลเซียส อย่างน่า
ประหลาดใจ ท้องฟ้าสดใสราวกลับธรรมชาติที่เคยโหดร้ายนั้น พร้อมที่จะยินดีต้อนรับนักปีนเขาคนไทยคนแรก
คนนี้ขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงสุดของโลกอย่างเต็มใจก็เป็นได้

หนุ่มไทยหัวใจเกินร้อยปีนไต่ขึ้นมาตั้งแต่ราว 2 ทุ่ม ของเมื่อคืนนี้จากบริเวณแคมป์สี่ และใช้เวลาราว 12 ชั่วโมง
โดยที่เขาเองนั้นยังไม่ได้นอนพักเลย ชายไทยคนหนึ่งค่อยๆ ย่างเท้าในช่วงสุดท้ายก่อนถึงจุดหมายขึ้นมาอย่าง
ยากลำบาก จนกระทั่งเขาสามารถก้าวเท้าขึ้นบนยอดเขาที่สูงที่สุดของโลก นั่นหมายความว่า ต่อไปนี้ในประวัติ
ศาสตร์ของประเทศไทยนั้นจะต้องจารึกไว้ว่า ในที่สุดก็มีคนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ

หลังจากนั้นเขาค่อยๆ หยิบเอาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาชูขึ้นเหนือศีรษะ
เพื่อให้เพื่อนชาวเชอร์ปาในทีมร่วมเดินทางครั้งนั้นถ่ายรูป “Who is he? รูปใครหรือ?” ฝรั่งคนหนึ่ง
ที่ยืนข้างๆ ถามขึ้น อีกคนหนึ่งตอบว่า “Your father? พ่อของคุณหรือ?” ดวงตาอันอ่อนระโหย
ของวิทิตนันท์กลับเป็นประกายขึ้นมาในทันที ก่อนยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากแล้วตอบไปว่า “Yes, he is. Not only
my Father, but also 60 Million Thai people–ใช่, แต่ไม่ได้เป็นพ่อของผมคนเดียว ท่านเป็นพ่อของคนไทย
ทั้ง 60 ล้านคน”


ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงตะโกนขึ้นมาจากมุมหนึ่งว่า “King of Thailand กษัตริย์ของคนไทย” แล้วฉับพลัน!
ก็มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ที่ยืนอยู่รอบๆ บริเวณแคบๆ เล็กๆ ณ จุดสูงของโลกว่า
“Long live the King!, Long live the King!–ขอจงทรงพระเจริญ! ขอจงทรงพระเจริญ”

หลังจากนั้นเขาค่อยๆ คลี่ธงชาติไทยที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบันทึกภาพ จากนั้นจึงหยิบเอาป้ายผ้าสีขาวสะอาด มีข้อความสีทองเป็นภาษาไทยว่า
“ทรงพระเจริญ อยู่ยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ ตลอดกาลตลอดไป” ที่สั่งทำ
ในกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ออกมาด้วย

ไม่กี่อึดใจเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีดังกังวานเหนือยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นครั้งแรกในโลกจากปากของ
ชายไทยคนนี้ พร้อมกับหยดน้ำตาของความดีใจที่ไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ การเดินทาง
ที่ยาวนานที่ต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่ในขณะนั้นความลำบาก ความเหนื่อยล้าต่างๆ ที่พบเจอมานั้น
ได้ละลายหายไปกับสายลม เพราะตอนนี้เขาทำสิ่งที่ตนเองได้พยายามมาเป็นเวลานานได้สำเร็จลง ณ จุด
ที่สูงที่สุดของโลก

การฟันฝ่าอุปสรรคครั้งนี้กลับทำให้เขาค้นพบเสน่ห์ของเอเวอเรสต์ในมุมที่ต่างออกไปนอกจากความสูง หรือ
ความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้วนั้น นั่นก็คือ มิตรภาพ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มก้าวเดิน
จนสิ้นสุดของการเดินทาง ไม่ว่าจากเพื่อนร่วมทริปชาวเชอร์ปา ซึ่งเป็นคนที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขานั้นและ
ยังรับหน้าที่เป็นคนนำทางไปสู่ยอดเขา หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ นักปีนเขาจากหลากหลายประเทศซึ่งมาพบเจอกัน
ระหว่างการเดินทาง ทั้งที่ประสบความสำเร็จในการเดินทางก็ดี หรืออาจจะบาดเจ็บล้มตายก็ดี แต่สุดท้ายมิตรภาพ
สามารถเชื่อมโยงทุกคนไว้ด้วยกันได้ ในที่สุด “มันคือการใช้ชีวิตร่วมกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมว่า
เอเวอเรสต์นั้นได้เปิดโอกาสได้ผมได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้ นอกเหนือจากธรรมชาติที่สวยงาม”
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่ได้พบหลังจากการพิชิตเอเวอเรสต์ คือการที่สามารถพิชิตใจของตนเองนั่นเอง

วิทิตนันท์ยังได้ให้ข้อคิดไว้กับคนไทยทุกๆ คนว่า ถ้าจะทำสิ่งไหนให้ประสบความสำเร็จเราต้องอย่าลืม 3H
นั่นคือ Heart คือทำอย่างไรให้เรารู้สึกสนุกกับสิ่งที่เรากำลังกระทำ Head คือต้องมีการคิดวางแผนและศึกษา
หาความรู้ก่อนที่เราจะลงมือทำ และ Hand คือลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ในที่สุดก็จะไม่มีเรื่องไหนที่เราทำไม่ได้

“อย่าแค่ชื่นชมในพระบารมีของในหลวงเพียงอย่างเดียว แต่เราความน้อมนำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติมาเป็น
ตัวอย่างมาทบทวนให้ดี เพราะทุกสิ่งนั้นล้วนมีความหมายที่ลึกซึ้งทั้งนั้น และเมื่อเวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้าก็ให้คิดถึง
ว่าในหลวงทรงเหนื่อยกว่าพวกเรามากมาย”
แววตาของผู้พูดเปล่งประกายด้วยความปีติซึ่งสามารถบ่งบอก
ได้ว่าไม่เพียงแค่ผู้ชายที่ชื่อ วิทิตนันท์ โรจนพานิช เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ คนไทยทุกคน
ก็สามารถทำได้ เมื่อชีวิตคือการเดินทางอันแสนยิ่งใหญ่ ขอเพียงเพียรพยายาม มีความตั้งใจจริงและหัดเรียนรู้
ที่จะเอาชนะใจตนเอง...


โหลดวิดีโอแห่งความประทับใจไปดูกันได้เลยครับ - ระวังต่อมน้ำตาของคุณนะครับ ผมเตือนแล้ว

http://www.mediafire.com/?vtnigtnxjxw

จาก - โพสทูเดย์


ผมเอามาจากท่าน Dr.Manhattan Thaiseo อีกที