ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ในด้านของดินแดนสยามหรือประเทศไทยของเรานั้น ก็มีความเชื่อเรื่องนาคปรากฏอยู่มากมาย

ภาคเหนือ

มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคอยู่เช่นกัน ดังในซึ่ง เป็นตำนานเก่าแก่ของทางภาคเหนือเอง “เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ต้นวงศ์ของพญามังรายผู้ก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนานั่นเอง”

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นาคล้วนมีส่วนร่วมในตำนานอย่างชัดเจน เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ด(จุด)บั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี

และเนื่องจากเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าบาดาล เป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ ดังนั้นเมื่อชาวนาจะทำพิธีแรกไถนา จึงต้องดูวัน เดือน ปี และทิศที่จะบ่ายหน้าควายเพื่อไม้ให้ควายลากไถไปในทิศที่ทวนเกล็ดนาค ไม่อย่างนั้นการทำนาจะเกิดอุปสรรคต่างขึ้น

ลูกไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษา ที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ บริเวณค่าย ตชด.(อ่างปลาบึก), อ.ศรีเชียงใหม่, ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัยแต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ

ก่อนนี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วเฉยๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา ผู้เขียนสมัยเมื่ออายุยังน้อย เมื่อปี 2508 (เป็นคน อ.โพนพิสัย) เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าวพุ่งขึ้น จากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นานๆ จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น. ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน

สังเกตว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทยไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาล อยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษเหตุนี้เรียกว่า “เงือกกิน” “เงือก, งู” เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้นมีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ หรือหลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นใน เขต อ.โพนพิสัยหรือที่อื่นๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม

นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดหรือที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และแยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน ตำนานประเพณีต่างๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม”บั้งไฟพญานาค”จึงได้เกิดขึ้นเฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บั้งไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่ (ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา บนดาวดึงส์ ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาค ดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ)

เครดิต ด.ญ.พรชนก เลิศสนธิ์


ความเชื่อเรื่อง สงกรานต์

สงกรานต์ แปล ว่า การเคลื่อนที่ การย้ายที่ คือ พระอาทิตย์ย่างขึ้นสู่ราศีเมษ (เดือนเมษายน) นักขัตฤกษ์เนื่องในการขึ้นปีใหม่อย่างเก่าของไทย ซึ่งกำหนดตามสุริยคติ ตรงกับวันที่ ๑๓-๑๔-๑๕ เมษายน
ตามปรกติสงกรานต์เป็นพิธีแสดงความยินดีที่ได้มีชีวิตย่างขึ้นปีใหม่ เรียกว่า รับปีใหม่

วันปีใหม่ คือวันมหาสงกรานต์ ได้แก่วันที่ ๑๓ เมษายน
ส่วนวันที่ ๑๔ เป็นวันเนา คือ วันพักผ่อนหรือทำบุญ
และวันที่ ๑๕ เป็นวันเถลิงศก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระยาวัน หรือ พญาวัน คือวันขึ้นศักราชใหม่

ตำนาน สงกรานต์ปรากฏในจารึกที่วัดพระเชตุพนว่า เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตรบ้านอยู่ใกล้กับบ้านนักเลงสุรา นักเลงสุรานั้นมีบุตรสองคน มีผิวเนื้อเหมือนทอง

วันหนึ่งนักเลงสุรานั้นได้เข้าไปกล่าวคำหยาบช้าต่อเศรษฐี
เศรษฐีจึงถามว่า เหตุไรจึงมาหมิ่นประมาทเราผู้มีสมบัติมาก

นักเลงสุราจึงตอบว่า ถึงท่านมีสมบัติก็ไม่มีบุตรตายแล้วก็จะสูญเปล่า เรามีบุตรเห็นว่าประเสริฐกว่าท่าน

เศรษฐีมีความละอายจึงบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งอธิษฐานขอบุตรถึง ๓ ปี ก็ไม่มีบุตร

อยู่ มาถึงวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีจึงพาบริวารไปที่ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีฝูงนกอาศัยอยู่ ได้เอาข้าวสารล้างน้ำ ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชาพระไทร ประโคมปี่พาทย์ ตั้งอธิษฐานขอบุตร

พระไทรมีความสงสารเศรษฐีจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ พระอินทร์ได้ให้ธรรมบาลเทพบุตร ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี

เมื่อ ภรรยาเศรษฐีตั้งครรภ์ครบกำหนดแล้ว ได้คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ให้ชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร และปลูกปราสาท ๗ ชั้นที่ใต้ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำนั้นให้ธรรมบาลกุมารอยู่

ธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้นก็รู้ภาษานก และเรียนไตรเพทจบเมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์

ใน ขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวกบิลพรหมองค์หนึ่งว่าเป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ ทั้งปวง เมื่อกบิลพรหมทราบกิตติศัพท์ของธรรมบาล จึงลงมาถามปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ

ทำสัญญากันไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย

ปัญหานั้นมีว่า
ข้อ ๑ เช้าราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๒ เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๓ ค่ำราศีอยู่แห่งใด

ธรรมบาล กุมารขอผัด ๗ วัน ครั้นล่วงไปได้ ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดไม่ออก เกรงว่าจะตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม จึงหนีลงมาจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาล ซึ่งมีนกอินทรีสองตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่

พอตกค่ำได้ยินนางนก อินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารที่ไหน นกอินทรีสามีบอกว่าจะได้กินธรรมบาลกุมารซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเพราะทายปัญหา ไม่ออก

นางนกถามว่า ปัญหานั้นว่าอย่างไร
สามีบอกว่า ปัญหามีอยู่ ๓ ข้อ
ข้อ ๑ เช้าราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๒ เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๓ ค่ำราศีอยู่แห่งใด

นางนกถามว่าจะแก้อย่างไร
สามีบอกว่า

เช้าราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงล้างหน้าในตอนเช้า
เที่ยงราศีอยู่ที่อก มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ค่ำราศีอยู่ที่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงล้างเท้าก่อนนอน

ธรรมบาลกุมารได้ยินดังนั้นจึงกลับไปยังปราสาท ครั้นรุ่งขึ้นท้าวกบิลมหาพรหมมาถามปัญหา ธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา

ท้าวกบิลมหาพรหมจึงตรัสเรียกเทพธิดาทั้งเจ็ด อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกัน บอกว่าตนจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาร

แต่ศีรษะนั้นถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟจะไหม้โลก ถ้าทิ้งไปบนอากาศฝนจะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง

จึง ให้ธิดาทั้งเจ็ดนั้นเอาพานมารับที่ศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้ธิดาผู้ใหญ่ นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที จึงเชิญไปประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคันธธุลีเขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่าง ๆ

พระเวสสุกรรมมาเนรมิตโรงประดับด้วย แก้ว ๗ ประการ ชื่อ ภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมูนาคลงมาล้างในสระอโนดาต ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทุกๆ พระองค์

ครั้นถึงครบ กำหนด ๓๖๕ วัน โลกสมมติว่าปีหนึ่ง เป็นสงกรานต์ นางเทพธิดา ๗ องค์ จึงผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลมหาพรหม ออกแห่ประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วกลับไปเทวโลก

ลูกสาว ทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น เราสมมติเรียกว่า ตัวสงกรานต์ หรือ นางสงกรานต์ ซึ่งมีชื่อต่าง ๆ กัน และมีดอกไม้ เครื่องประดับ อาหาร อาวุธ และสัตว์เป็นพาหนะประจำต่างกันด้วย

คนสมัยก่อนถือเรื่องตัวนาง สงกรานต์มาก เมื่อจะถึงวันสงกรานต์ก็ถามกันว่า ปีนี้นางสงกรานต์กินอะไร ถืออะไร มีอาการอย่างไร เช่น ถ้านางสงกรานต์กินเลือดก็เชื่อกันว่า ปีนั้นจะมีการตีกันหัวร้างข้างแตก หรือมีอุบัติเหตุ มีผู้เสียชีวิตมาก เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องของนาคให้น้ำ ซึ่งมีตั้งแต่ตัวเดียวถึงเจ็ดตัว
ถ้าปีใดนาคให้น้ำตัวเดียวปีนั้นฝนจะอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าปีใดมีนาคให้น้ำมากกว่าหนึ่งตัว ฝนจะตกน้อยลงเพราะนาคมักจะเกี่ยงกันนั่นเอง

งานประเพณีลอยกระทงนั้นมีมาแต่โบราณกาล โดยมีคติความเชื่อว่าเป็นการบูชาขอขมาต่อแม่พระคงคา เป็นการสะเดาะเคราะห์ การบูชาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ และการบูชารอยพระพุทธบาท การลอยกระทงจะนิยมทำกันในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองของทุก ๆ ปี เป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลำคลองจะขึ้นสูงและมีอากาศเย็น ในตามพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน และตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้กล่าวว่า นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีปเป็นรูปดอกบัวบานขึ้น เป็นแบบที่คนทั่วไปนิยมจัดทำสืบทอดต่อกันมา นอกจากนั้นในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยังได้กล่าวถึง งานเผาเทียน เล่นไฟ ของกรุงสุโขทัยไว้ด้วยว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้รู้ทั้งหลายสันนิษฐานตรงกันว่า งานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน งานประเพณีลอยกระทง เป็นงานประเพณีโบราณที่เก่าแก่ของไทย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชี้ชัดว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร แต่เท่าที่ปรากฏ พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานีและในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์ใช้ในการกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อการบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา ในสมัยสุโขทัย นางนพมาศพระสนมของพระร่วงได้คิดทำกระทงถวายเป็นรูปดอกบัวและรูปต่าง ๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล
พระร่วงเจ้าทรงพอพระราชหฤทัยกระทงดอกบัวของนางนพมาศมาก จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และปฏิบัติสืบต่อกันมา จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยเหตุนี้ กระทงรูปดอกบัวจึงปรากฏมาจนทุกวันนี้ แต่เปลี่ยนชื่อเรียกว่า "ลอยกระทงประทีป" ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงตัดพิธีต่าง ๆ ที่เห็นว่าสิ้นเปลืองออก ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้อีก ปัจจุบันนี้ การลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย แต่พิธีของชาวบ้านยังคงทำกันอยู่เป็นประจำตลอดมา

แบบไทยๆ 10 แบบนี้ คนไทยน่าจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เพราะไม่น่านิยมเอาซะเลย !

1. นัดแบบไทยๆ
ไปไหนก็ตาม ผิดนัดทุกที เจ้าภาพจะจัดงานอะไรมักจะนัดเผื่อเอาไว้ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงเสมอ นัยว่าถ้านัดพอดีเวลา คนก็ยังไม่มากัน ต้องเริ่มงานล่าช้า ต่อไปอีก เพื่อจะให้มากันพอดีๆ เลย ต้องนัดให้เร็วเข้าไว้ก่อน ประเพณีนี้ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ถ้าจัดงานกันในหมู่คนไทย ก็ไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นงานที่มีชาวต่างประเทศมาร่วมงานด้วย ก็ได้ขายหน้าเขาทุกงานนั่นแหละ บางทีเจ้าภาพก็มาทีหลังแขก แล้วแทนที่จะขอโทษขอโพยกลับยิ้มแย้มแจ่มใจ อ้างว่า "นัดแบบไทยๆ" ซึ่งไม่เข้าท่าเลยจริงๆ เปลี่ยนค่านิยมแบบนี้กันเถอะ ประเทศจะได้เจริญรุดหน้าไปอีกเยอะเลย

2. ประชุมแบบไทยๆ
คือ ประชุมบ่อยมาก ประชุมนานเหลือเกิน และไม่ได้สาระจากการประชุม จะเห็นว่าคนไทยทุกวันนี้ โดยเฉพาะในหมู่นักธุรกิจ นักสังคมสงเคราะห์ มักจะมีเรื่องประชุมบ่อยมาก ประชุมกันเกือบทุกวัน บางวันตั้ง 3-4 งาน แล้วประชุมแต่ละงานนานมาก ตั้งครึ่งวันค่อนวัน สาเหตุก็มาจากข้อ 1(นัดแบบไทยๆ)นั่นแหละ ลงท้ายนึกว่าจะได้เรื่องได้ราวอะไรมากมาย ปรากฏว่าไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ บางทีกลับ "มีเรื่อง" เสียอีก ไม่ประชุมเสียยังดีกว่า ยังคุยกันได้บ้าง พอประชุมเสร็จโกรธกันไปเลย นี่แหละคนไทย ประชุมแบบไทยๆ ไม่สามารถแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่สามารถทนได้เมื่อเห็นความคิดของตัวเอง ที่ประชุมเขาไม่เอาด้วย เห็นข้อแตกต่างระหว่างความคิดแบบไทยๆ กับความคิดที่เป็นสากลรึยังล่ะ

3. เล่นการเมืองแบบไทยๆ
ก็ซอยเท้าอยู่กับที่มานานมากแล้ว ยังไม่ไปไหนเลย โทษดินโทษฟ้า โทษดวงบ้านโทษดวงเมืองไปโน่น บ้างก็โทษรัฐธรรมนูญ โทษไปหมด ไม่มีใครโทษตัวเองเลย ก็โทษกันนัวเนียอยู่นี่แหละ มีบางคนบ่นว่า "การเมืองไทย ยิ่งเล่นยิ่งถอยหลังเข้าคลอง" คิดๆ ดูแล้ว เราอยู่ในคลองนี้มาหลายสิบปีแล้ว แล้วเราจะถอยหลังลงคลองได้ยังไงกันล่ะ นี่ล่ะนะ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ เล่นการเมืองแบบไทยๆ

4. ทำงานแบบไทยๆ
ไม่อยากจะแยกว่าทำงานราชการหรืองาน เอกชน ถ้าแบบไทยละก็ อืดอาด ยืดยาด เช้าชามเย็นชาม อย่างที่เขาว่า แต่ถ้าเทียบกันจริงๆ แล้ว ราชการมักเป็นอย่างนี้เสียมากกว่า เพราะเอกชนถึงจะเป็นบ้าง นายจ้างเขาไม่ปล่อยเอาไว้นาน ถ้าเขาจะแกล้งปล่อยลูกน้องให้ทำอย่างนั้น ก็แปลว่าเขากำลังจะเลิกธุรกิจนั้นแล้ว ก็เลยปล่อยให้อยู่ไปวันๆ หนึ่ง รอวันตาย หรือเปลี่ยนเจ้าของ พูดอย่างนี้อาจแสลงใจข้าราชการ เพราะว่ากันจริงๆ แล้ว ณ เวลา 8.30 น. มีข้าราชการทั่วประเทศพร้อมที่จะทำงานร้อยละเท่าไร ณ เวลา 13.00 น. มีข้าราชการรับประทานอาหารเสร็จพร้อมจะทำงานต่อร้อยละเท่าไร และเมื่อเวลา 16.30 น. มีข้าราชการยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนร้อยละเท่าไร ใครตอบได้บ้าง !

5. รัฐวิสาหกิจแบบไทยๆ
เห็นจะไม่ต้องยกตัวเลขกำไร ขาดทุน ของรัฐวิสาหกิจไทยแต่ละแห่งให้ดูหรอกนะ สรุปว่าขาดทุนกันเกือบถ้วนหน้า มีกำไรอยู่บ้างไม่กี่แห่ง พอรักษาหน้ารัฐบาลไทย และไม่เคยมีผู้ใหญ่ยุคใดที่ลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ล้วนแต่ลูบหน้าปะจมูก บางทีก็กลับกลายเป็น "สร้างปัญหาใหม่" ขึ้นมา แทนที่จะแก้ปัญหา


6. ค้าขายแบบไทยๆ
เปล่านะ ไม่ได้หมายถึงหาบเร่ แผงลอย ที่ถูกตำรวจไล่จับราวกับวัวกับควายหรอกนะ แต่หมายถึงการค้าขายในระดับประเทศ เราเอาคนมีฝีมือระดับไหนมาทำงานด้านนโยบายการค้าต่างประเทศ สินค้าของเราหลายอย่างมีคุณภาพดี เป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศ ทั้งประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงและโพ้นทะเล แต่เราทันเขาไหม ทั้งไหวพริบปฏิภาณและข้อมูลทางการตลาด และเราจะต้องทนขาดดุลการค้าแบบนี้ไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี

7. ขับรถแบบไทยๆ
มีนักทัศนาจรชาวต่างประเทศคนหนึ่ง ไปเขียนลงแมกกาซีนในต่างประเทศว่า ถ้าใครสามารถขับรถในกรุงเทพฯ ได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุแล้ว เขาสามารถขับรถได้ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกวัน รถชนคนตายทุกวัน เรื่องฝ่าสัญญาณไฟจราจร ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ทั่วโลกนี้เขาตกลงกันว่า "ไฟเขียวแปลว่า ไปได้ ไฟเหลืองแปลว่า เตรียมตัวหยุด และไฟแดงแปลว่า ต้องหยุดทันที" แต่ของไทยเรานี่ "ไฟเขียวแปลว่าไปได้ ไฟเหลืองแปลว่าให้รีบไปด่วน ไฟแดงแปลว่าอยากไปก็ไปได้ (วะ)" แล้วมันจะไปเหลืออะไร นี่แหละ ขับรถแบบไทยๆ

8. เลี้ยงลูกแบบไทยๆ
การเลี้ยงเด็กบ้านเรา หาความพอดียาก บางคนก็เลี้ยงลูกให้ลูกเดินตกท่อ บางคนก็เลี้ยงแบบให้ขี่คอตลอดเวลา ก็มีข่าวอยู่เสมอๆ แม่เดินนำหน้า ปล่อยให้ลูกอายะ 3 ขบเดินตามหลังห่าง 2 ไฟฟ้า ลูกตกท่อ กทม. ตายไปแล้ว จนรุ่งเช้ายังไม่รู้ว่าลูกหายไปไหน อย่างนี้เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่โตหรอกนะ ตายเสียก่อน แต่บางคนก็เลี้ยงลูกแบบทะนุถนอมเหลือเกิน ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกเดินชนเสาร้องไห้ แม่ก็ไปตีเสา ลูกเหยียบชามข้าวหกล้ม แม่ก็ไปตีชาม ลงท้ายลูกเลยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ผิดเลย คนอื่นผิดอยู่เรื่อย เด็กบางคนอายุ 6 ขวบแล้ว ไปโรงเรียนอนุบาล มีคนใช้หิ้วกระเป๋าเดินตาม เห็นแล้วอยากจะถามว่า ถ้าเด็กคนนั้นแกหิ้วกระเป๋าเองไม่ได้ แล้วโตขึ้นแกจะหิ้วอนาคตได้อย่างไร

9. แต่งงานแบบไทยๆ
ก็เลี้ยงช้างนะซีงานนี้ ในชนบทก็เลี้ยงกันสามวันสามคืน ในกรุงก็ต้องฉลองกันบนโรงแรมหรูๆ ออการ์ด 3,000 ใบ ลงหนังสือพิมพ์ต่างหากอีก เสร็จแล้วอยู่กันไม่กี่วันเลิกกันเสียแล้ว !!! บางคนไปกู้เงินเขามาแต่งงาน ดอกร้อยละ 20 พอแต่งงานเสร็จต้องมานั่งใช้หนี้เขาต่อไป ขาดความเจียมเนื้อเจียมตัว ขาดความพอดี นี่ไม่ได้ว่าหมดทุกงานนะ เห็นเป็นบางงานอ่ะ ที่พอดีๆ ก็มีเยอะจ้า

10. กินเลี้ยงแบบไทยๆ
เดี๋ยวนี้กลายเป็นประเพณีอีกอย่าง หนึ่งในสังคมไทยเสียแล้ว จะทำอะไรก็ต้องจัดงานเลี้ยง วันเกิด เปิดป้าย แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ตรุษไทย ตรุษจีน ตรุษแขก ตรุษฝรั่ง เลี้ยงรุ่น เลี้ยงรับ เลี้ยงลา เลี้ยงเกษียณอายุ ฯลฯ ยิ่งรุ่นไหนมีคนดัง ยิ่งต้องจัดเลี้ยงถ่ายรูปลงหน้าสีหนังสือพิมพ์ให้ได้ มิฉะนั้นเขาไม่รู้ว่าตัวอยู่รุ่นเดียวกับคนดัง เข้าทำนอง "กินเลี้ยง กินเหลา กินเหล้า กินเหลือ" จะเรียกว่ากินกันให้ตายไปข้างหนึ่งก็ว่าได้ เรียกว่า กินแบบไทยๆ นั่น

"แม่" คำสั้นๆ คำนี้แทบไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะทุกคนคงจะเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี แต่ใครละจะทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เราเคยได้รับจากแม่ หรือสิ่งที่แม่ทำให้กับเรา
ลองไปดูแล้วคิดตามนะครับว่า ความรักที่แท้จริง และเป็นความรักที่บริสุทธิ์นั้นเราได้รับจากใคร

เมื่อคุณกำเนิดมาในโลกนี้ เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณเธอโดยการร้องไห้

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณเธอโดยการงอแงทั้งคืนวัน

เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน คุณขอบคุณเธอด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา

เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณเธอด้วยการโยนจานลงพื้น

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการระบายสีบนโต๊ะอาหาร

เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว คุณขอบคุณเธอด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะ

เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน คุณขอบคุณเธอด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!"

เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อบอลให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไปทำหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก

เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล, โรงยิม, ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแต่ละคน คุณขอบคุณเธอด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนคุณไปดูหนัง คุณขอบคุณเธอด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว

เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ เธอเตือนคุณอย่าดูทีวี คุณขอบคุณเธอด้วยการรอเธอออกไปก่อน แล้วดูต่อ

เมื่อคุณอายุ 13 เธอแนะให้คุณตัดผมให้มันดูดี คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

เมื่อคุณอายุ 14 เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยสักฉบับนึง

เมื่อคุณอายุ 15 เธอกลับบ้านหลังเลิกงาน อยากได้กอดสักครั้ง คุณขอบคุณเธอด้วยการล็อกห้องนอนขังตัวเองในห้อง

เมื่อคุณอายุ 16 เธอสอนคุณขับรถ คุณขอบคุณเธอด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้

เมื่อคุณอายุ 17 เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณเธอด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

เมื่อคุณอายุ 18 เธอร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบมัธยม คุณขอบคุณเธอด้วยการฉลองยันเช้า

เมื่อคุณอายุ 19 เธอจ่ายค่ากวดวิชา ขับรถไปรับไปส่ง คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกลาข้างนอกเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน

เมื่อคุณอายุ 20 เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง คุณขอบคุณเธอด้วยการพูดว่า ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย

เมื่อคุณอายุ 21 เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับอนาคต คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ

เมื่อคุณอายุ 22 เธอกอดคุณวันรับปริญญา คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า อยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง

เมื่อคุณอายุ 23 เธอให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกของคุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกเพื่อนๆ ว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร

เมื่อคุณอายุ 24 เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณและถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคตน
คุณขอบคุณเธอด้วยการจ้องมองเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่ โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้"

เมื่อคุณอายุ 25 เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและสินสอด ร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน คุณขอบคุณเธอด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ

เมื่อคุณอายุ 30 เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อคุณอายุ 40 เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดญาติ คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย

เมื่อคุณอายุ 50 เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย ต้องการให้ดูแล คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ

และแล้ว วันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ "เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกตลอดทั้งคืนนะ" โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่คนที่เราเรียกว่า "แม่" แม้จะไม่กล้าพูดออกมาก็ตาม ไม่มีอะไรแทนที่เธอได้ แม้ว่าบางคราวเธออาจจะไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเป็นด้วยกับความคิดของคุณ แต่เธอก็คือ "แม่" ของคุณ

และเชื่อได้ว่าเธอจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังทุกปัญหาทุกความกังวล ถามตัวคุณเองดูเถิด คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้าความกังวลใจของเธอจากการทำงาน หรือจากในครัวบ้างไหม คุณเคยคิดถึงความเหนื่อยยากของเธอไหม รักเธอให้มากแม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะเมื่อเธอจากไป จะเหลือเพียงความทรงจำ และความเสียใจเท่านั้น อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รักเธอให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง ..... แสดงให้เธอ รู้ว่าคุณก็ "รัก" ก่อนที่จะทำได้เพียงแค่ บอกว่ารัก กับ "รูป"ของเธอ .....