ขับเคลื่อนโดย Blogger.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 100เรื่องความเป็นไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 100เรื่องความเป็นไทย แสดงบทความทั้งหมด
วันนี้ขอหยิบเรื่องคุณสมบัติของละครไทยมาให้ได้อ่านกันครับ

1. ถ้าคุณเป็นคนจน แม้ไม่เคยมีงานทำก็มีเงินกินข้าว และ เปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเรื่อง

2. โฆษณามักจะตัดกับตอนที่นางเอกกำลังถือแก้วกำลังจะจิบยานอนหลับ

3. ตัวละครแต่งหน้าตลอดเวลา แม้กระทั่ง นอนหรือป่วย ขนตาและมาสคาร่ามันโปะเต็มหน้า

4. ไม่พระเอกก็นางเอกจะมีปัญหาครอบครัว

5. พระเอกนางเอกละครไทยจะเริ่มปิ๊งกัน เพียงแค่ล้มทับกัน แต่จ้องตาเป็นประกายประมาน 3วิ ซะทุกเรื่อง นางเอกต้องอยู่ด้านบนด้วยนะ

6. เมื่อหลงป่า ฝนจะตก และเมื่อฝนตก จะเจอกระท่อมหรือถ้ำ และเมื่อเจอกระท่อมหรือถ้ำก็ยั่งว่า...

7. หากพระเอกโดนรุมทำร้าย ท่อนไม้เป็นอาวุธที่นางเอกจะหาได้ทุกที

8. นางร้ายที่มาในชุดแดง จะมีความร้ายระดับนางมาร

9. ตื่นมาละแปรงฟันกันน้อยมาก

10. เรื่องสำคัญอะไรก็ตามที่จะบอกกัน มักโดนตัดบทเสมอ

11. แม้ว่าพระเอกจะจบสูงมาแค่ไหนสุดท้ายก็โง่ได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยคำพูดตัวร้าย เรียกได้ว่า พระเอกจะเชื่อทุกเรื่อง นอกจากเรื่องจริง

12. บุหรี่ เหล้า และ ยี่ห้อสินค้าโดนเซ็นเซอร์อย่างไร้สาระ แต่ตอนตบตีกัน ภาพใสแจ๋ว

13. พระเอกแขนเท่ากุ้งสามารถล้มนักเพาะกาย 4-5 คนได้มือเปล่า โดยท่าแรกมักจะเป็นเข้ามาชก และพระเอกปัดมือกัน และ โดนเตะออกไป

14. ร้องไห้หน้ายังสวย

15. เป็นธรรมดาที่จะเห็นตัวละครพูดกับตัวเอง เหมือนคนบ้า ( คิดในใจไม่เป็น )

16. ตัวร้ายมีจุดจบ 3 ประการ ตาย เป็นบ้า และ กลับมาดี ตัวร้ายไม่เคยได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ

17. เมื่อนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย พระเอกจะดูออกคนสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งโลกจะดูออกตั้งแต่วินาทีเเรก

18. บ้านนกอินทรีย์เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายละคร

19. ยิงปืนไม่เคยโดนกัน ถ้าจะโดนก็โดนหัว ไม่ก็ แขน

20. และตอนตาย หน้าตาจะยังสดสวย แม้ว่าตัวละครนั้นจะยิงสมองตัวเองตาย เลือดยังไม่เปื้อนหน้า แต่จะย้อยลงมาอย่างสวยงาม และนอนในท่าที่สวยหรู

21. นักธุรกิจ มีการประชุมน้อยมาก

22. เลขาหน้าห้องมักสวย และ เป็นสายให้กับนางร้าย

23. ไม่เคยเรียกเก็บเงินหลังจากกินข้าว

24. ท่าเต้นในผับ มีท่าเดียว

25. การตบหน้าด้วยส้นสูงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงหนึ่ง ทำให้การตบด้วยมือดูโลโซไปในขณะหนึ่ง

26. เวลาซ่อนตัวจากผู้ร้าย ต้องมีหนึ่งคนเหยียบกิ่งไม้

27. ถุงชอปปิ้ง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดไหน จะเบาโหวง เพราะข้างในไม่มีอะไรเลย

28. ตร. หมอ มีอย่างละคน คดีไหน โรค ก็ เจออยู่คนเดียว และ ตำรวจมักจะมาตอนจบ

29. แอบฟังคนพูดกันในห้อง ถึงห้องจะปิดอยู่ก็ได้ยิน

30. พระเอกจะเห็นเสมอเวลา นางเอกจับมือกับผู้ชาย แบบพี่น้องหรือเพื่อน แล้วก็เข้าใจผิด

31. พระเอกต้องมีเลือดกรุปเดียวกับนางเอกหรือ ญาตินางเอก แต่ห้ามบอกเชียวนะ ว่าตัวเองเป็นคนให้เลือด หนังจะจบเร็ว

32. ตอนจบพระเอก นางเอกยืนจับมือ มองหน้าักัน จูบหน้าผาก พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน คนใช้.. ยืนแอบดู แล้ว ตบมือ !!!แปะๆๆ

33. คนใช้ หรือลูกจ้างเป็นตัวเดินเรื่อง ประสานช่องโหว่งที่คนดูจะไม่เข้าใจ

34. ตัวละครยังไม่ทันได้พูดความจริงจนหมด ก็ตายไปซะก่อน

35. ช่วงหลัง นางเอกกับนางร้ายจะมีนิสัยใกล้เคียงกัน

36. พระเอกจะหมั้นกับนางร้ายมาเป็นปีๆ แต่ถ้านางเอกโผล่ปุ๊บ นางร้าย มีข้อเสียปั๊บ

37. พ่อพระเอกหรือนางเอก ต้องมีเมียน้อย

38. ต้องมีคนใช้ 2 ฝ่าย ธรรมะ และอธรรม ตีกันเอง

39. ตอนจบอาจจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นบ้า ชีจะนั่งบนเตียงผู้ป่วยพร้อมกับตุ๊กตาหนึ่งตัว

40. ตัวประกันถูกจับที่เดียวคือโกดัง และ พระเอกจะมาทันตลอดราวกับว่ามีโกดังที่เดียวในประเทศไทย

41. กระโดดบังกระสุนแทนถือเป็นสุภาพบุรุษที่สุดละ

42. เวลามีคนโทรเข้ามือถือ กล้องต้องซูมเข้าไปให้เห็นชื่อแล้วถึงจะรับโทรศัพท์ได้ เดี๋ยวคนดูไม่รู้ว่าใครโทรมา

43. ฉากงานหมั้นหรือแต่งงาน จะมีคนมาขัดจังหวะ แฉและเปิดโปงความจริง

44. ฉากเลิฟซีนมักจะอยู่ในห้องที่มีเตียงและผ้าหุ่มสีขาว

45. จูบเเล้วต้องตบ ตบแล้วต้องด่า ด่าแล้วต้องวิ่งหนีไป

46. ถ้าเป็นฝาแฝด นางเอกมักจะถูกแยกกันแต่เกิด คนนึงไปอยู่กับมหาเศรษฐี อีกคนอยู่สลัมส์ตกยาก แล้วก็ต้องสลับตัวกัน

47. เวลามีฉากข่มขืน ผญ.จะวิ่งไปล้มบนที่นอน เหมือนจะพร้อมให้ย่ำยีแล้ว

48. พ่อไปดูลูกนอน หรือ พระเอกไปดูนางเอกนอน จะห่มผ้าให้ ถึงห้องนอนจะไม่มีแอร์ หรือไม่ใช่หน้าหนาว

49. ไม่ว่าตัวละครใดๆ ที่เป็นผู้หญิง จะต้องแต่งตัวเวอร์มากๆ ไม่มีคำว่าชุดอยู่บ้าน เครื่องแต่งกายจะต้องเลิศหรูเกินมนุษย์ปกติ

50.ช่อง 3 ตอนจบ
ช่อง 7 ตอนอวสาน

credit:คุณแดงหน้าม้า
ในเมื่อกล่าวถึงครูเพลงสุรพลไปแล้วก็ขอกล่าวถึง พระเอกตลอดการ มิตร ชัยบัญชา เป็นดารายุคเก่าที่ได้รับความนิยมมากคนหนึ่งของเมืองไทย เคยได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี จากสาขาดารานำฝ่ายชายที่ทำรายได้สูงสุด และรางวัลดาราทองพระราชทาน รางวัลดาราทองขวัญใจมหาชน เป็นพระเอกตลอดกาลของวงการภาพยนตร์ไทย ที่ไม่ใช่มีมนต์ขลังกับหมู่คนที่เกิดในยุคสมัยนั้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงคนรุ่นหลังอีกด้วย อย่างเช่น การก่อตั้งสมาชิกชมรม "คนรัก มิตร ชัยบัญชา" กับคนที่สนใจเรื่องราวของมิตรในช่วงหลัง และในปี พ.ศ. 2545 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดการแข่งขันรายการ แฟนพันธุ์แท้ ของพระเอกมิตร ชัยบัญชา ที่เป็นการแข่งขันหาแฟนตัวจริงในทุก ๆ รุ่นของมิตร โดยมีผู้ชนะการแข่งขันคือ จงบุญ สุขิน คิดดูสิครับว่าถ้ามิตร ชัยบัญชา วงการภาพยนต์ไทยคงเปลี่ยนแปลงจากที่เรารู้จักอย่างแน่นอน
แล้วก็ได้เวลาของศิลาจารึกหลักที่ 1ของไทยแล้วนะครับจริงๆอยากเอาเรื่องนี้มาลงให้นานแล้วครับแต่ยังไม่ได้ทำวักกะที(จริงๆลืมครับ)เอาเป็นว่ามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่าครับ หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้รับการยกย่องให้เป็นหลักฐานที่ทรงคุณค่าต่าง ๆ คือ ประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และนิติศาสตร์
เนื้อความที่ปรากฏบนหลักศิลาจารึกบ่งบอกถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ สภาพเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงหลักการเมืองการปกครอง ความเชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยนั้น ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ในยุดเริ่มแรกของ ประเทศไทย ที่พวกเราคนรุ่นหลังสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับรู้เอาไว้ และนำความรู้เหล่านั้นมาประยุคใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคต
หลักสิลาจารึกหลักที่หนึ่งได้ถูกค้นพบโดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครั้งที่ทรงยังไม่ได้ครองราชย์และทรงผนวชอยู่ ทรงได้เสด็จไปสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. 2376 ทรงพบ “เสาศิลา” พร้อมกับ “พระแท่นมนังศิลา” และจารึกวัดป่ามะม่วง พระองค์ทรงได้นำมาเก็บไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ได้ย้ายมาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ภายในพระที่นั่งศิวโมกพิมาน
ด้วยความโดดเด่นและทรงคุณค่าทางวัฒนะธรรม องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนะธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก้ ได้จดทะเบียนให้เป็น เอกสารทางความทรงจำแห่งโลก (Memory of the world) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2546
หลักฐานหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นมาของประเทศ ไทย มีหลายชิ้นที่มีความเป็นมาอย่างพิษดารมากมาย บางชิ้นเกือบจะสูญเสียไปอย่างไม่ได้ตั่งใจ บางชิ้นค้นพบด้วยความบังเอิญ ถ้าพวกเราคนไทยลองศึกษาการได้มาของเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ เหล่านั้นจะรู้ว่า ประเทศของของเรามีบุญหนักหนา เหมือนกับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรบางอย่างช่วยไม่ให้สิ่งเหล่านั้นสูญหาย ไป และได้ช่วยดลให้มีคนไปค้นเจอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเราได้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นที่ศึกษาและเป็นมรดกของประเทศ แล้ว พวกเราก็ควรที่จะศึกษาอย่างจริงจัง ที่สำคัญควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ให้อยู่คู่กับประเทศไทยไปอย่างยาวนาน



ที่มา : ป้ายหน้าหลักศิลาจารึกหลังที่หนึ่ง ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
โดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
เรียบเรียง : วาทิน ศานติ์ สันติ
ใครๆก็คงรู้จักผัดไทยของขึ้นชื่อประจำข้าวสารหรือป่าวหว่าแต่ก็นะไม่ว่าชาติใดมาพอถึงข้าวสารแล้วคงต้องได้ลอง ผัดไทยแน่นอนแต่เรารู้ประวัติผัดไทยหรือไม่
ผัดไทยนั้นมีมาแต่โบราณในชื่อ "ก๋วยเตี๋ยวผัด" ผัดไทยนั้นกลายเป็นที่รู้จักของคนต่างชาติตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมานิยมรับประทานก๋วยเตี๋ยว เพื่อลดการบริโภคข้าวภายในประเทศ เนื่องจากในช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ข้าวแพง และได้เปลี่ยนชื่อก๋วยเตี๋ยวผัดเป็น "ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย" ตามชื่อใหม่ของประเทศ ปัจจุบันเรียกกันโดยย่อเหลือเพียงแค่ "ผัดไทย"
ช่วงนี้มีหนังต่างชาติที่เข้ามาโกยเงินในไทยเยอะพอสมควร แต่จะมีใครสนใจหรือไม่ว่าผู้สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงแห่งแรกของไทยคือใคร ถ้าไม่ได้เรียนหนังหรือสนใจเรื่องนี้จริงๆคงจะไม่รู้จักนายมานิต วสุวัต แต่เขาเป็นใครเราไปอ่านประวัติเขากันครับ
นายมานิต วสุวัต เกิดที่บ้านหน้าวัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๔๐ ในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) และคุณหญิงทิม วสุวัต มีพี่น้องร่วมกันอีก ๔ คน คือ นายศุกรี วสุวัต พี่ชาย และมีน้องชายสามคนคือ หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) นายกระเศียร วสุวัต และนายกระแส วสุวัต

พี่น้องตระกูลวสุวัตเหล่านี้ ล้วนเป็นผู้สนใจและคิดค้นทดลองเล่นในเรื่องการประดิษฐ์ การช่างเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก การถ่ายรูป การถ่ายภาพยนตร์มาตั้งแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะนายมานิตได้สนใจคิดค้นและฝึกฝนในการเล่นกล สามารถแสดงกลโดยอาศัยเครื่องมือได้หลายชุด

เมื่อสำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนราชวิทยาลัยแล้ว นายมานิตได้เข้ารับราชการในกระทรวงการคลังอยู่ระยะหนึ่ง แล้วย้ายไปทำงานที่โรงไฟฟ้าสามเสน

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ นายศุกรี พี่ชายได้ตั้งโรงพิมพ์ศรีกรุงและออกหนังสือพิมพ์รายเดือน ต่อมาปี ๒๔๖๓ ได้ออกหนังสือพิมพ์รายวันสยามราษฎร์

ด้วย ความที่พี่น้องวสุวัตสนใจเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะภาพยนตร์ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทันสมัยอย่างหนึ่งในช่วงเวลานั้น ดังนั้นเมื่อทราบว่ากรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ พี่น้องวสุวัตจึงได้ไปติดต่อขอซื้อกล้องถ่ายภาพยนตร์ที่กรมหลวงสรรพสาตรเคย ใช้มาดัดแปลงจนใช้การได้ และได้ประเดิมทดลองถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรกโดยนำเอาภาพถ่ายข่าวน้ำท่วมที่ เมืองซัวเถามาถ่ายเป็นภาพยนตร์ข่าวด้วยการนำกิ่งไม้มาขยับเคลื่อนไหวจนดู คล้ายเป็นภาพเคลื่อนไหวจริง ๆ เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายที่โรงหนังนาครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๕ ปรากฎว่ามีพี่น้องชาวจีนในกรุงเทพฯสมัยนั้นแตกตื่นไปดูกันจำนวนมาก

จาก ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง " น้ำท่วมเมืองซัวเถา " ทำให้พี่น้องวสุวัตลงมือทดลองถ่ายทำ ภาพยนตร์สารคดีเชิงข่าวสารสารคดีต่อมาเรื่อย ๆ โดยมีหลวงกลการเจนจิตเป็นหัวแรงสำคัญ และนายมานิตซึ่งตอนนี้ได้บริหารกิจการหนังสือพิมพ์แทนพี่ชายที่เสียชีวิต เป็นผู้ให้การสนับสนุนและร่วมงานอย่างใกล้ชิด

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๗๐ พี่น้องวสุวัตได้หันไปทดลองสร้างภาพยนตร์บันเทิงเป็นครั้งแรกโดยร่วมกับพรรค พวกในขณะหนังสือพิมพ์สยามราษฎร์และศรีกรุงก่อตั้งเป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์ ชื่อกรุงเทพ ฯ ภาพยนตร์บริษัท สร้างภาพยนตร์เรื่อง "โชคสองชั้น "เป็นเรื่องแรก

ความสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่เป็นผล งานเรื่องแรกของกรุงเทพฯภาพยนตร์บริษัทเท่านั้น หากยังได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรก ที่สร้างโดยคนไทยอีกด้วย

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง " โชคสองชั้น " นี้ นายมานิต มีบทบาทเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ประดิษฐ์ศิลป์ หลวงบุณยมานพพานิช นักประพันธ์เจ้าของนามปากกาแสงทอง เป็นผู้เขียนเรื่อง หลวงกลการเจนจิตเป็นผู้ถ่าย นายกระเศียรเป็นผู้ตัดต่อ และหลวงอนุรักษ์รัถการเป็นผู้กำกับการแสดง

เมื่อภาพยนตร์เรื่อง " โชคสองชั้น " ออกฉายเป็นครั้งแรกเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ปรากฎว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนทำให้พี่น้องวสุวัตตัดสินใจสร้าง ภาพยนตร์ต่อในช่วงปลายปีทันทีด้วยภาพยนตร์เรื่อง " ใครดีใครได้ " ต่อมา ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ คณะวสุวัตก็ได้สร้างภาพยนตร์เรื่องที่สามออกฉายต่อไปคือเรื่อง " ใครเปนบ้า " หลังจากนั้นพี่น้องวสุวัตและกรุงเทพฯภาพยนตร์บริษัทได้ยุติการสร้างภาพยนตร์ ลงชั่วคราวโดยหันไปทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับภาพยนตร์เสียงซึ่งเริ่มเป็นที่นิยม แทนภาพยนตร์เงียบอย่างจริงจัง จนถึงขั้นสามารถดัดแปลงประดิษฐ์เครื่องฉายและกล้องถ่ายหนังเงียบที่มีอยู่ ให้กลายเป็นเครื่องฉายและกล้องถ่ายหนังเสียงระบบเสียงในฟิล์มแบบของฝรั่ง สำเร็จพอใช้การได้เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๗๓ จากนั้นจึงได้ทดลองถ่ายทำภาพยนตร์เสียงขนาดสั้น ๆ สองเรื่อง และได้นำออกฉายที่โรงพัฒนากรในปีเดียวกัน ได้รับความสนใจตื่นเต้นในหมู่ผู้ชมเป็นอันมาก

ถึงตอนนี้นายมานิต วสุวัตมองเห็นว่ากิจการสร้างหนังไทยสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นต่อไป จึงได้ลงทุนจัดตั้งกิจการสร้างภาพยนตร์บันเทิงในระบบเสียงในฟิล์มขึ้น เรียกชื่อว่าภาพยนตร์เสียงศรีกรุง โดยจัดสร้างห้องแล็บติดตั้งอุปกรณ์พร้อมมูลขึ้นที่ร้านวสุวัต ย่านสะพานขาว และหลังจากใช้เวลาติดตั้งและปรับปรุงเครื่องมือจนสามารถใช้งานได้ผลพอใจแล้ว คณะภาพยนตร์เสียง ศรีกรุงก็ลงมือสร้างภาพยนตร์บันเทิงเสียงในฟิล์มเรื่อง แรก คือ " หลงทาง " สำเร็จออกฉายเป็นการร่วมฉลองกรุงเทพฯ ๑๕๐ ปี เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่โรงหนังพัฒนากร

กิจการภาพยนตร์ เสียงของศรีกรุงเจริญรุดหน้าตามลำดับ ภาพยนตร์ของศรีกรุงประสบความสำเร็จแทบทุกเรื่อง จนทำให้นายมานิตตัดสินใจสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงขนาดใหญ่ติดตั้งอุปกรณ์ ทันสมัย และสมบูรณ์แบบขึ้นที่ ซอยอโศก บางกะปิ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ การก่อสร้างโรงถ่ายแล้วเสร็จในอีกหนึ่งปีต่อมา หลังจากนั้นบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงก็สามารถผลิตภาพยนตร์เสียงระบบ มาตรฐาน ออกเผยแพร่สู่ประชาชนได้อย่างสม่ำเสมอโดยเฉลี่ยปีละสามถึงสี่เรื่อง เช่น สัตหีบ พญาน้อยชมตลาด เมืองแม่หม้าย เพลงหวานใจ เป็นต้น

แต่แล้ว กิจการสร้างภาพยนตร์ที่เจริญรุ่งเรื่องตลอดมาถึงกาลหยุดชะงักลงเมื่อเกิด สงครามโลกครั้งที่สองขึ้น นายมานิตได้หันไปทุ่มเทให้กับกิจการหนังสือพิมพ์รายวัน สยามราษฎร์และ ศรีกรุงแทน จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงสถานการณ์ของบริษัทภาพยนตร์เสียงศรี กรุงก็ไม่กระเตื้องดีขึ้น เพราะศรีกรุงได้สูญเสียบุคคลผู้เป็นกำลังสำคัญของกิจการนี้ไปหลายคน โดยเฉพาะการเสียชีวิตของหลวงกลการเจนจิตในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ประกอบกับช่วงนั้นความนิยมในหนังพากย์ ๑๖ มิลลิเมตรได้เข้ามาแทนที่ภาพยนตร์ ๓๕ มิลลิเมตร เสียงในฟิล์ม จึงทำให้นายมานิต ตัดสินใจยุติการสร้างภาพยนตร์โดยสินเชิง โดยหันไปเปิดโรงงานผลิตแผ่นเสียงแทน ส่วนโรงถ่ายภาพยนตร์ก็ได้รับการดัดแปลงให้เป็นโรงภาพยนตร์ในชื่อ ศาลาศรีกรุง

ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ นายมานิตได้หวนกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งโดยรวบรวมทายาทในตระกูลวสุวัตจัด ตั้งบริษัทศรีกรุงยุคใหม่ขึ้น แต่กิจการสร้างภาพยนตร์ของศรีกรุงยุคใหม่ดำเนินไปได้สองปีเท่านั้นก็ต้องปิด ตัวเองลงอีกครั้ง เนื่องจากประสบความล้มเหลวมาโดยตลอดหลังจากนั้นชื่อศรีกรุงก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับการกาลเวลา

นายมานิต วสุวัต เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยวัย ๘๕ ปี
credit http://www.thaifilm.com/articleDetail.asp?id=43 มาสนับสนุนหนังไทยกันครับ
วันนี้แค่อยากจะบอกว่าต้นกล้าอาชีพที่ไปเรียนก็ใกล้จะจบแล้วเลยคิดว่าจะไปเที่ยวใหนกันดีน้องๆก็อายุม่ายถึง20คงไปผับมะได้แน่เลย น้องเล้กเลยบอกว่าไปข้าวสารแล้วนั่งร้านข้างนอกก้ได้เลยคิดว่าก็ดีเหมือนกัน แล้วเราก็เลยคิดได้ว่าควรเขียนถึงข้าวสารซะหน่อยตอนแรกกะเขียนถึงโรงเรียนในซอยข้าวสารแต่ไม่ไปยุ่งกะเขาดีกว่าจาปลอดภัยอิอิจะคุยเรื่องรถสามล้อก็กะว่าจะแยกไปต่างหากอีกเอางี้ละกัน ประวัติ อันนี้หละใช้เลยมาดูประวัติกัน

ถนนข้าวสารเป็นถนนที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2435 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกรมโยธาธิการได้ กราบบังคมทูลให้ตัดถนนตรอกข้าวสาร เริ่มตั้งแต่ถนนหน้าวัดชนะสงคราม (ซึ่งได้นามว่าถนนชนะสงคราม) ตัดมาทางตะวันออกตามตรอกข้าวสารแล้วสร้างสะพานข้ามคลองมาบรรจบกับถนนเฟื่องนครตอนหน้าสวนหลวงตึกดิน พระราชทานนามถนนตามเดิมว่า "ถนนข้าวสาร"

ถนนข้าวสาร เดิมเป็นย่านเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นตรอกที่ขายข้าวสาร เป็นแหล่งค้าขายข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดของเขตพระนคร ซึ่งข้าวสารจำนวนมากจะถูกขนส่งมาจากฉางข้าวหลวง สะพานช้างโรงสี ริมคลองคูเมืองเดิม หรือ ปัจจุบันก็คือ คลองหลอด เลียบมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นที่ท่าเรือบางลำพู เพื่อนำข้าวมาขายให้แก่ชาวบ้านในชุมชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ นอกจากนี้ก็ยังขายถ่านหุงข้าว ของชำ โดยถัดออกไป 1 ถนน จะเป็นคลองที่เชื่อมต่อมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา มีการค้าขายข้าวสารมากมายจึงเรียกว่าตรอกข้าวสาร (เพราะขนาดเล็ก) ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นถนนข้าวสาร หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดชุมชนขึ้น และขยับขยายต่อไป ต่อมาเริ่มมีร้านขายของมากขึ้น เช่นร้านขายของเล่น อย่างลูกข่าง ร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือ

ต่อมาความเป็นอยู่ของชุมชนแห่งนี้เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองกรุงเทพมหานครครบรอบ 200 ปี ได้เข้ามาเช่าห้องพักอาศัยเพื่อเที่ยวชมเมืองหลวงของไทยในช่วงเทศกาลสำคัญนี้ และเริ่มมีฝรั่งเข้ามามาถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด โดยมีทีมงานกองถ่ายมาอยู่กันจำนวนมาก ที่มาเช่าที่ เช่าเกสเฮาส์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มี ก็ต้องเช่าจากบ้านที่อยู่แถวนั้นซึ่งใช้แบ่งเช่า จึงเป็นที่มาของเกสเฮาส์ เกสต์เฮ้าส์ของชาวต่างชาติเริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2528-2529 ระยะหลังเริ่มมีคนเข้ามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นศูนย์รวมของพวกแบ็คแพ็กเกอร์ที่มาท่องเที่ยวประเทศไทย จนเป็นที่โด่งดังในที่สุด ก่อนที่จะมาปรับเปลี่ยนรูปแบบอีกทีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลายเป็นย่าน บันเทิงยามราตรีที่สำคัญของกรุงเทพฯ(เป็นไปได้ไงอะจากร้านขาของเล่นนี้นะ)

นนข้าวสารถือเป็นถนนที่ได้รับความนิยมในการเล่นน้ำในวันสงกรานต์ที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก การเล่นสงกรานต์บนถนนข้าวสารเริ่มเมื่อประมาณ พ.ศ. 2533 เนื่องจากที่ถนนข้าวสารนี้เป็นแหล่งที่พักอาศัยชั่วคราว หรือที่เรียกว่าเกสต์เฮ้าส์ ดังนั้นประเพณีการเล่นน้ำสงกรานต์ของคนไทยจึงถูกใจนักท่องเที่ยวชาวต่าง ประเทศที่มาพักในถนนข้าวสารเป็นอย่างมาก โดยการเล่นสงกรานต์ถนนข้าวสารในช่วงแรกๆ ก็เป็นแต่เพียงเล่นสาดน้ำกันธรรมดาเท่านั้น

แต่เทศกาลสงกรานต์นี้มาโด่งดังในช่วง พ.ศ. 2542-2543 โดยนอกจากการเล่นสาดน้ำเป็นปกติแล้ว ก็ยังมีทั้งการจัดกิจกรรม มีเวทีการแสดง มีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุน จากแต่ก่อนที่คนเล่นต้องเตรียมน้ำเตรียมแป้งมาเล่นกันเอง และมีน้ำเตรียมไว้ให้เล่นตามจุดต่างๆ ด้วยผมไปเล่นมาบ่อยมากเลยหละ เอาเป็นว่าจริงๆมีอีกเยอะครับแต่สงสารคนอ่านนิดหน่อยอ่านกันยาวๆตาลายหมด
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักไม้ขีดแต่คุณรุ็หรือไม่ว่ามันเกิดขึ้นในสมัยใหนและเข้าไทยเมื่อไหร่ลองอ่านกันนะครับ
ปี พ.ศ. 2370 (ต้นสมัยรัชกาลที่ 3) มีนักเคมีชาวอังกฤษชื่อ จอห์น วอล์คเกอร์ ทำไม้ขีดจากเศษไม้จุ่มปลายลงในส่วน ผสมของ แอนติโมนีซัลไฟด์โปตัสเซียมคลอเรตและกาวซึ่ง ทำจากยางไม้ หรือ gumarabic เมื่อนำไม้ขีดไฟขูดลงบนกระดาษทรายจะเกิดแรงเสียดสี ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนที่ทำให้ไม้ขีดลุกเป็นไฟ ไม้ขีดแบบที่ จอห์น วอล์คเกอร์ ประดิษฐ์เป็นแบบเดียวกันกับไม้ขีดประเภท "ขีดกับอะไรก็ได้" แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะติดไฟทุกครั้ง ไม้ขีดไฟชนิดนี้เพิ่งคิดค้นได้หลังจากการประดิษฐ์ไฟแช็กถึง 4 ปี[1]

ถึงปี พ.ศ. 2373 ในประเทศฝรั่งเศส ชาร์ลส์ โซเรีย ได้คิดค้นไม้ขีดไฟที่มีปลายทำจากฟอสฟอรัสเหลือง แต่ช่วงสิ้นศตวรรษที่ 19 หัวไม้ขีดมีส่วนประกอบของฟอสฟอรัสเหลืองหรือขาวมีพิษทำให้คนงานในโรงงานผลิต ไม้ขีดไฟเจ็บป่วยถึงพิการหรือเสียชีวิตด้วยโรคที่เรียกกันว่า phossy jaw

ในช่วง พ.ศ. 2383 หรือปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการค้นพบฟอสฟอรัสแดงซึ่งทำให้ผลิตไม้ขีดได้อย่างปลอดภัย แต่ไฟจะติดได้ก็ต้องจุดเฉพาะพื้นที่ที่เตรียมไว้เท่านั้น ผิวสำหรับขีดอยู่ข้างกล่องไม้ขีดมีฟอสฟอรัสแดง ทาติดอยู่ ด้วยยางไม้ gumarbic หรือกาวชนิดอื่น ส่วนที่หัวไม้มีโปแตสเซียมคลอเรตซึ่ง เมื่อกระทบกับ ฟอสฟอรัสแดง ก็จะเกิดปฏิกิริยาให้ความร้อนมากพอและไฟจะติดขึ้นได้ เรื่องยังมีวัสดุอื่นๆอีกที่สามารถใช้เป็นก้านไม่ขีดไฟได้เช่น ด้ายเคลือบขี้ผึ้ง และกระดาษแข็งเคลือบขี้ผึ้ง แต่วัสดุที่ใช้ทำก้านไม้ขีดได้ดีที่สุดก็คือไม้ ลักษณะไม้ซึ่งเหมาะสำหรับทำก้านไม้ขีดควรจะเป็นไม้สีขาว ไม่มีกลิ่น เนื้อไม้ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป นิยมใช้ไม้มะยมป่า ไม้มะกอก ไม้อ้อยช้าง ไม้ปออกแตก เป็นต้น ก่อนจุ่มทำหัวไม้ขีดจะต้องเอาปลายก้านไม้ขีดที่จะติดหัวนั้นไปจุ่มขี้ผึ้งพาราฟินก่อน หากเนื้อไม้แข็งเกินไปก็จะไม่ดูดซึมพาราฟิน พาราฟินจะเป็นตัวส่งผ่านจากหัวไม้ขีดไปสู่ก้านไม้ขีด หากไม่มีพาราฟิน เมื่อไฟติดก็จะดับในทันที และหากเนื้อของไม้อ่อนจนเกินไปก้านไม้ขีดก็จะไม่คงรูปเป็นก้านตรงได้

สมัยแรกเป็นการนำเข้าไม้ขีดไฟของสวีเดนและญี่ปุ่น โดยของญี่ปุ่นนั้นมีตราต่างๆ และมีภาพวาดบนฉลากไม้ขีดไฟเป็นรูปต่างๆ เรียกว่า หน้าไม้ขีดไฟ มีนักสะสมจะเก็บรวบรวมหน้าไม้ขีดไฟ ต่อมาช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 คนไทยสามารถผลิตไม้ขีดไฟเองได้ มีโรงงานไม้ขีดไฟของเมืองไทยในยุคนั้น ได้แก่ บริษัทมิ่นแซจำกัด ผลิตตรานกแก้ว ตรารถกูบ บริษัทตังอาจำกัด ผลิตตรามิกกี้เม้าส์ ตราแมวเฟลิกซ์ บริษัทไทยไฟ ผลิตตรา 24 มิถุนา เป็นรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นที่ระลึกในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย บริษัทเอเซียไม้ขีดไฟจำกัด ผลิตชุด ก.ไก่ ข.ไข่ บริษัทสยามแมตซ์แฟ็กตอรี่ ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัทไม้ขีดไฟไทย ผลิตตราธงไตรรงค์ ตราพระยานาค แล้วเราก็ใช้ไม้ขีดยี่ห้อนี้กันจนทุกวันนี้
ปิ่นโต เด็กสมัยใหม่รู้จักใหมผมก็ไม่แน่ในักแต่ตอนนี้ถ้าไม่ได้ทำบุญตอนเช้าหรือไปที่วัดก็ไม่ได้มีโอกาศได้เห็นเจ้าสิ่งนี้มากนัก ผมลองไปค้นข้อมูลมาก็พบประวัติเกี่ยวกับ ปิ่นโตนิดหน่อยยังไงลองอ่านดูนะครับ ปิ่นโต เป็นภาชนะชนิดหนึ่งสำหรับบรรจุอาหาร ประกอบด้วยภาชนะรูปทรงกระบอกซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีโครงร้อยตรงส่วนหูสองข้าง หิ้วได้ มักจะมีตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป ลักษณนามเรียก "เถา"

เดิมเชื่อว่า "ปิ่นโต" มาจากคำว่า "ปินโต" ในภาษาโปรตุเกส แต่โสมทัต เทเวศร์ (นามปากกาของ ส.พลายน้อย หรือ สมบัติ พลายน้อย) นักภาษาศาสตร์ เขียนแย้งว่า น่าจะเป็นการจำไขว้เขวกับฝรั่งโปรตุเกสที่เข้ามาอยู่เมืองไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ เฟอร์นันโด เม็นเดซ ปินโต จึงทำให้คนคล้อยตามกันมาก ความจริงแล้วตามพจนานุกรมภาษาโปรตุเกส คำว่า Pinto หมายถึงลูกไก่ ดังนั้นภายหลังส่วนใหญ่ลงความเห็นสอดคล้องกันว่าน่าจะมาจากคำว่า "เบนโต"ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึง ข้าวกล่อง ซึ่งอาจจะผ่านมาจากภาษาจีน คำว่า "เปี้ยนตัง"

แล้วคุณเห็นปิ่นโตครั้งสุดท้ายเมื่อไหรหรือครับ
เนื่องจากเมื่อกี้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบาสเกตบอลไปแล้วเลยอยากกล่าวถึง รายละเอียดเล็กที่นักบาสหรือคนที่สนใจควรจะรู้ ส่วนภาพข้างนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทีมอะไรเหมือนกันครับแต่เป็นคนไทยครับ

บันทึกของโอลิมปิกสากลระบุไว้ว่า กีฬาบาสเกตบอลเริ่มนำเข้ามาในเมืองไทย ครั้งแรกเมื่อปี 2477 โดยครูชาวจีนชื่อ นายนพคุณ พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีนโรงเรียนมัธยมบพิตรพิมุข ได้แปลกติกากีฬาบาสเกตบอลให้กับกรมพลศึกษา เพื่อนำไปอบรมครูฝึกสอนต่อไป มี พ.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศล นักเรียนนอกจากสหรัฐอเมริกาและผู้เล่นระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐ เป็นผู้นำไปเผยแพร่การเล่นในระดับวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ
กระทั่งได้รับความนิยมมากขึ้นจนตั้งเป็นสมาคมบาสเกตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศ ไทย และได้รับการรับรองจากสมาคมบาสเกตบอลนานาชาติได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2496 ในกรุงเทพมหานคร เริ่มจัดการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลประจำปีระหว่างนักเรียนชายขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2477 สมัยที่ น.อ.หลวงศุภชลาศัย ร.น. ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา
ย้อนไปได้ไกลกว่านี้ นายมนัส โอภากุล บันทึกไว้ว่า ในขณะที่เรียนอยู่ระดับประถมที่โรงเรียนป้วยเอ็ง (เผยอิง) เมื่อปี 2470 ก็ได้เล่นบาสเกตบอลแล้ว และเมื่อปี 2475 มีการจัดการแข่งขันกีฬาสากลของโรงเรียนจีนทั่วประเทศ ทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนที่เขาเป็นหัวหน้าทีมได้รางวัลชนะเลิศ และดังถึงขนาดทีมมหาวิทยาลัยกั๊กเจี๊ยะ จากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และมหาวิทยาลัยหนานหยาง จากประเทศสิงคโปร์ เดินทางมาร่วมแข่งขันด้วย
ผู้ที่มีบทบาทเผยแพร่บาสเกตบอลในประเทศไทยมากอีกกลุ่มหนึ่งคือสมาคม ชาวอเมริกัน "วายเอ็มซีเอ (Y.M.C.A.)" เริ่มเล่นที่สนามของสมาคมแถววรจักร จากนั้นก็ขยายกันออกไปในกลุ่มคนจีนตามโรงเจทั้งหลาย จะมีสนามบาสทั่วไป ถึงต่างจังหวัดอย่าง จ.พิษณุโลก จ.นครราชสีมา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อ.จันดี อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แล้วที่ภาคใต้ก็แพร่หลายถึงขนาดจัดการแข่งขันชิง "ถ้วยทองคำ" ทองคำแท้ๆ และผู้เล่นทีมชาติส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กที่มาจากจังหวัดเหล่านี้ทั้งนั้น ที่กรุงเทพฯ ก็มีการแข่งขันชิงถ้วย "เจียงหวย" หรือถ้วยสมาคมจีน ที่จริงเรียกกันโรงเรียนสาทร จัดเป็นประจำทุกปี คนแน่นเต็มไปหมด แล้วก็ยังแข่งที่หน้าศาลาว่าการ กทม. ที่เรียกกันว่า "สนามเสาชิงช้า" ผู้เล่นจะเป็นระดับเริ่มต้นที่เฟื่องฟูมาก

-------------------ทีมบาสไทยเคยแข่ง "โอลิมปิก" มาแล้ว 3 ครั้ง------------------------

ถ้ากล่าวถึงทีมบาสเกตบอลระดับโลกแล้ว ต้องยอมรับว่าทีมสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าแห่งกีฬายัดห่วงนี้ แล้วยังเป็นกีฬาประจำชาติของสหรัฐด้วย ไม่ใช่พูดกันลอยๆ แต่จากสถิติเหรียญทองกีฬาระดับโลก อย่างเหรียญทองโอลิมปิก ตั้งแต่ปี 2479-2543 ทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศเหรียญทองมากที่สุดคือ ทีมสหรัฐ คว้าไปถึง 11 สมัย ทีมสหภาพโซเวียต คว้าไป 2 สมัย ที่สอดแทรกขึ้นมาได้ 1 สมัยเหนือสหรัฐ ก็คือทีมจากยุโรปตะวันออกอย่างทีมยูโกสลาเวีย
สำหรับทีมบาสเกตบอลจากประเทศไทยนั้น ทำได้ดีที่สุดคือติดอันดับ 15 ของกีฬาโอลิมปิก ในการเข้าร่วมการแข่งขันเมื่อปี 2499 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย สำหรับทีมจากประเทศในเอเชียนั้น เคยติดอันดับ 1 ใน 10 ของระดับโลกมาแล้ว จากเอกสารของคณะกรรมการโอลิมปิกรวบรวมไว้นั้น ทีมจากเอเชียที่ติดอันดับคือ ฟิลิปปินส์ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี บันทึกของโอลิมปิกสากลระบุไว้ว่า กีฬาบาสเกตบอลเริ่มนำเข้ามาครั้งแรกเมื่อปี 2477 โดยครูชาวจีนชื่อนายนพคุณ พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีน โรงเรียนมัธยมบพิตรพิมุข แปลกติกากีฬาบาสเกตบอลให้กรมพลศึกษาเพื่อนำไปอบรมครูฝึกสอน ต่อมา พ.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศล นักเรียนนอกจากสหรัฐอเมริกาและผู้เล่นระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐ เป็นผู้นำไปเผยแพร่การเล่นในระดับวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ
ได้รับความนิยมมากขึ้นจนตั้งเป็นสมาคมบาสเกตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และได้รับการรับรองจากสมาคมบาสเกตบอลนานาชาติสำเร็จเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2496 เพียง 2 ปีหลังจากนั้น ทีมบาสเกตบอลไทยก็เดินทางไปร่วมการแข่งขันระดับโอลิมปิกครั้งแรก แล้วยังมีโอกาสส่งทีมบาสเกตบอลไปร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกอีก 2 ครั้งคือ การแข่งขันที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2503 และการแข่งขันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2507
จากเอกสารโอลิมปิกสากล ระบุว่า ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2499 ทีมสหรัฐทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมได้สูงถึง 100 แต้ม และเฉลี่ยคะแนนชนะคู่แข่งขันกว่า 53.5 แต้ม ในการแข่งขันครั้งนี้ทีมสหรัฐชนะทีมไทย 101-29 แต้ม ทีมจากเอเชียที่เข้าร่วมแข่งขัน คือ ชนะทีมญี่ปุ่น 98-40 แต้ม ชนะทีมฟิลิปปินส์ 121-53 แต้ม
ทีมจากสหรัฐคว้าเหรียญทองชนะรวด 8 ครั้ง ส่วนทีมไทยนั้น มีสถิติระบุไว้ว่าแข่งขันทั้งสิ้น 7 ครั้ง แพ้ทั้ง 7 ครั้ง ในเอกสารที่ค้นได้บันทึกไว้ว่า ทีมไทยแพ้ทีมฟิลิปปินส์ 55-94 (24-34) ในการแข่งขันเมื่อปี 2507 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทีมไทยแพ้ทีมฟิลิปปินส์ 71-98
นี่คือบันทึกของโอลิมปิกสากล เกี่ยวกับการแข่งขันของทีมบาสเกตบอลไทยที่ไปร่วมการแข่งขันกีฬาระดับโลก อย่างกีฬาโอลิมปิก 3 ครั้ง ตั้งแต่นั้นมาทีมบาสเกตบอลไทยก็ไม่เคยไปร่วมการแข่งขันอีกเลย
นักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไทยที่เคยไปร่วมทีมแข่งขันระดับโอลิมปิกมาแล้ว ปีกซ้ายชื่อดังในยุคโน้น นายวัฒน์ ธีปฏิมากร ขณะนี้อายุ 71 ปีแล้ว แต่ยังคงออกกำลังกายเป็นประจำด้วยการเล่นบาสเกตบอล เคยร่วมทีมสองครั้งเมื่อปี 2503 และ 2507 เขาย้อนรำลึกว่า "ทีมชาติไทยยุคนั้น ถือว่าเป็นทีมระดับนำของเอเชีย มีคู่แข่งที่สำคัญและผู้ชมให้ความสนใจมาก อย่างทีมฟิลิปปินส์ ทีมญี่ปุ่น และทีมเกาหลี ผลัดกันแพ้ชนะในเกมการแข่งขันทุกระดับ" คุณวัฒน์ บอกอีกว่า "ผมขนลุกเลยครับที่ได้ไปร่วมแข่งขันครั้งนั้น โดยเฉพาะในพิธีเปิดและปิดการแข่งขัน ทีมกีฬาเดินเป็นขบวนเข้าไปในพิธี มีผู้คนต้อนรับเต็มไปหมดสองข้างทางถนน มีเสียงตบมือให้เกียรติตลอดเวลา และนักกีฬาแลกเปลี่ยนลายเซ็นกันอย่างเป็นกันเอง เป็นความทรงจำตลอดชีวิตจนถึงวันนี้"
ที่ฮือฮามากในระดับโอลิมปิกอีกเรื่องเกี่ยวกับนักกีฬาบาสเกตบอล คือบันทึกของโอลิมปิก เขียนไว้ว่า นายวีระชัย ธนสุกาญจน์ พ่อของ "แทมมี่" แทมมารีน ธนสุกาญจน์ นักเทนนิสติดอันดับของไทย ที่เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกในนามทีมชาติไทย พ่อลูกคู่นี้ได้รับความสนใจมาก เพราะผู้เป็นพ่อ นายวีระชัย เคยเป็นนักบาสเกตบอลทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกมา 2 ครั้งเมื่อปี 2503 และปี 2507 จึงได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงชาติไทย นำทีมชาติไทยเข้าสนามแข่งขันโอลิมปิกที่โอลิมปิกสเตเดี้ยม ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา พ่อและลูกเป็นนักกีฬาโอลิมปิกทั้งคู่
ตำนานเพชรพระอุมา นวนิยายไทยที่เป็นที่สดของหลายๆเรื่องก็ว่าได้
เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน

เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม) แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2541 และทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2544 และตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2547

โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส (King Solomon's Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา

แค่ประวัติก้ยาววะขนาดนี้แล้ว ่นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย !!! ถ้าท่านเป็นคนติดอะไรง่ายๆ อย่าได้ริลองเป็นอันขาด เพราะนี่คือสิ่งเสพติดอย่างหนึ่ง แค่ได้ลองครั้งเดียว ก็ติดแล้ว ติดง่ายมาก เราเตือนท่านแล้ว ถ้าไม่แน่จริง อย่าได้ริลองเป็นอันขาด ถ้าได้อ่านแล้วถ่านอาจจะรักนวนิยายไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะคนสมัยนี้ถ้าถามว่าอ่านเพชรพระอุมาใหมอ่านตอบว่าไม่เพราะไม่รู้จักแต่ถ้าถามว่ารู้จัก Harry Potter ใหม่คงรู้จักกันเป็นอย่างดี่แต่ผมแนะนำว่าลองไปอ่านก่อนแล้วจะรุ้ว่าทำไมนวนิยายเรื่องนี้ถึงเป็นที่กล่าวขาน hxxp://www.petprauma.com/content/content01.html (ตรงxxคือttครับ) เป็นเว็บแฟนแท้ๆเพชรพระอุมาครับ ขอให้สนุกนะครับ


พอดีผมไปเจอบทความเกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้มาครับ เป็นหนังสือที่ผมเรียนสมัยเด็กๆพอผมเห็นปกมันครั้งแรกก็นึกถึงสมัยเด็กๆของผมตอนเรียนเลยครับผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนหนังสือเล่มนี้และยอมรับ ว่าตอนนั้นผมไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่แต่หนังสือวิชานี้ผมอ่านมันบ่อยที่สุด และทำให้ผมเริ่มอ่านหนังสือบ้างจากตอนแรกไม่ค่อยตั้งใจอ่านหนังสือบวกกับความขี้เกียจด้วย อิอิ ถ้าใครไม่ได้ดูรูปคงงงว่าเป็นหนังสืออะไร เป็นหนังสือภาษาไทยครับเรียนตั้งกะ ป.หนึ่งเลย ตอนนั้นวิชานี้ผมเกรดดีใช้ได้เลย หนังสือเรียนพวกนี้พิมพ์มาหลายล้านเล่มแต่เดียวนี้ลองไปเดินหาดูไม่ยักกะเจอ ก็ตั้ง20กว่าปีแล้วนี้นะ
ถ้าใครสนใจลองไปที่ [ ฮ. ฮูก ดอทคอม :: ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเด็กไทย ]
http://www.horhook.com/
ผมได้มาจากเว็บpantip อีกทีหนึ่งนะครับ

ผู้ที่คิดออก ลอตเตอรี่ เป็นคนแรกในเมืองไทยนั้นคือ มิสเตอร์ เฮนรี่ อลาบาสเตอร์ (ต้นตระกูล "เศวตศิลา") ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำการออกสลากแบบยุโรบมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า ลอตเตอรี่
ปัจจุบัน กลายเป็นของยอดฮิตไปแล้วครับสำหรับแม่ผมนะซื้อได้ทุกงวดจริงซิน่า

ลองถามวัยรุ้นในสมัยนี้ดูนะครับว่ามีใครรู้ใหมว่าถนนสายแรกของประเทศไทยคือถนนสายอะไรผมว่ามีหลายคนที่ไม่รู้ครับ ถนนสายแรกในเมืองไทยคือถนนเจริญกรุง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม4และถนนสีลมในเขตชาลพระนคร
แต่มีอีกอย่างที่ผมรู้แน่ๆครับรถติดถนนสายนี้นานพอควรครับ


ประกาศสงกรานต์ปีพ.ศ. ๒๕๕๒

“ปี ฉลู มนุษย์ผู้ชาย ธาตุดิน เอกศก จุลศักราช ๑๓๗๑ ทางจันทรคติ เป็นอธิกวาร ทางสุริยคติ เป็นปกติ (เอกศก คือ ปีที่จุลศักราชลงท้ายด้วย ๑ และ ทางสุริยคติเป็นปกติ หมายถึง ปีนั้นๆกุมภาพันธ์มี ๒๘ วันเป็นปกติ)

วันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับ ณ วันจันทร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๐๑ นาฬิกา ๑๓ นาที ๑๔ วินาที (ถ้าดูตามปฎิทินสากล วันที่ ๑๔ เมษายน จะเป็นวันอังคาร แต่ ณ ที่นี้ ยังนับเป็นวันจันทร์เพราะยังอยู่ในช่วงตีหนึ่ง หากหลัง ๖ โมงเช้าไปแล้ว ทางโหราศาสตร์จึงจะนับเป็นวันใหม่ คือ วันอังคาร)

นางสงกรานต์ ทรงนามว่า โคราคะเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดาหาร ภักษาหารน้ำมัน พระหัตถ์ขวาพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือ หลังพยัคฆะ (เสือ)พาหนะ

วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๐๕ นาฬิกา ๐๖ นาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น ๑๓๗๑ ปีนี้ วันเสาร์เป็นธงชัย วันพุธเป็นอธิบดี วันศุกร์เป็นอุบาทว์ วันศุกร์เป็นโลกาวินาศ

ปีนี้ วันจันทร์เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๕๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๕๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๑๐๐ ห่า ตกในป่าหินพานต์ ๑๕๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๒๐๐ ห่า นาคให้น้ำ ๒ ตัว

เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๖ ชื่อลาภะ ข้าวกล้าในภูมินา จะได้ผล ๙ ส่วน เสีย ๑ ส่วน ธัญญาหาร ผลาหาร จะอุดมสมบูรณ์ (ธัญญาหาร คือ ข้าวต่างๆ / ผลาหาร คือ ผลไม้ต่างๆ)

เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีอาโป (น้ำ) น้ำมาก

จาก ประกาศสงกรานต์ข้างต้น เมื่อเทียบกับคำทำนายโบราณ จะเห็นว่า วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันจันทร์ ท่านพยากรณ์ไว้ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคุณหญิงคุณนายทั้งหลายจะเรืองอำนาจ วันอังคารเป็นวันเนา ผลหมากรากไม้จะแพง วันพุธเป็นวันเถลิงศก บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ และท่าที่นางสงกรานต์เสด็จมา คือ นอนหลับตามาบนหลังเสือ ท่านว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี

ส่วนคำทำนายทางล้านนา ถ้าวันสังกรานต์ล่องตรงกับวันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อมโนรา ปีนั้นงูจักเกิดมีมาก คนทั้งหลายจักเกิดเป็นพยาธิมากนัก ฝนหัวปีดี หางปีบ่พอดี ข้าวกล้าลางที่ดี ลางที่ก็บ่ดี คนเกิดวันอังคารมีเคราะห์ คนเกิดวันพุธมีโชค

ประมวลจากคำทำนายข้างต้น นอกจากผลหมากรากไม้จะแพง คนเจ็บป่วยและงูจะมีมากขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่า หลังสงกรานต์สภาพการณ์ต่างๆน่าจะดีขึ้น และดูมีความหวังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ถ้าจะสังเกตภาพโดยรวมของนางสงกรานต์ประกอบไปด้วย จะเห็นว่า นางสงกรานต์ปีนี้ มีนามว่า “โคราคะเทวี” อันตรงกับชื่อปีพอดี เพราะคำว่า “โค” ก็คือ “วัว” นั่นเอง อีกทั้งพระนางยังนอนหลับตามาบนหลังเสือ ซึ่งเสือนี้ แม้จะเป็นสัตว์ดุร้าย แต่ถือได้ว่าเป็นสัตว์มงคล ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ ทางจีนจึงมีรูปเสือคาบดาบไว้ที่ประตูบ้าน ดังนั้น แม้จะมีคำว่า “ราคะ” คือ ความกำหนัดยินดีในกามรมณ์ หรือการติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสต่อท้ายนาม ซึ่งคล้ายจะเป็นชื่อที่ชวนหลงลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณต่างๆ แต่เมื่อพระนางนอนหลับตามาบนหลังเสือ จึงมีนัยกลับกัน คือ กลายเป็นการเตือนให้ผู้คนอย่าหลงละเลิงไปกับสิ่งยั่วยุหรือความฟุ้งเฟ้อ ต่างๆ คือ ให้ “ราคะ”เหล่านี้ หลับหรือหยุดนิ่งไปเสีย โดยมี”เสือ”ซึ่งโดยปกติ “วัว” กลัวอยู่แล้วควบคุมอยู่ ซึ่งก็ตรงกับสภาพเศรษฐกิจในปีนี้พอดี ที่คนส่วนใหญ่คงต้องอยู่กันอย่างประหยัด ไม่สามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือมือเติบได้ และความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจก็อาจนำมาซึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เพิ่มจำนวน มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำทำนายจะดีร้ายประการใด ก็เป็นเพียงการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น หากทุกคนใช้ “สติ” ในการดำรงชีวิต และประพฤติปฎิบัติตนตามหลักศาสนาแล้ว เชื่อว่าเราก็คงเช่นเดียวกับนางสงกรานต์ปีนี้ที่มีพระขรรค์และไม้เท้าเป็น อาวุธ ที่จะช่วยป้องกันและพยุงตัวเราให้รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆไปได้


..............................

ทัศชล เทพกำปนาท นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม


หมาย เหตุ : ตั้งแต่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒ เป็นต้นไป ปีนี้ วันเสาร์ เป็นวันธงชัย ช่วงเวลา ๖.๐๐-๗.๓๐ น. /วันพุธ เป็นอธิบดี เวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๓๐น. /วันศุกร์ เป็นอุบาทว์ ช่วงเวลา ๑๖.๓๐-๑๘.๐๐ น. / วันศุกร์เป็นโลกาวินาศ เวลา ๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.

ข้อมูลและรูปจาก สำนักงานและวัฒนธรรมแห่งชาติ http://www.culture.go.th/www/th/news_detail.php?id=282

ถ้าจะกล่าวถึงยอดเขาเอเวอเรสต์นั้น หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีในนามของยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก และ
ขึ้นชื่อในเรื่องของเส้นทางอันแสนจะหฤโหดที่คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวผู้ซึ่งหลงใหลในความงามของธรรมชาติ
มานักต่อนักแล้ว แต่ก็เป็นธรรมดาที่ในทุกๆ ปีจะมีนักผจญภัยทั่วโลกมากมายที่ยอมเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับความ
ลำบาก เพื่อขึ้นไปสัมผัสถึงความรู้สึกบนยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งนี้ เพื่อจะได้ชื่อว่าเขาคนนั้นคือหนึ่งในผู้พิชิต
ยอดเขาเอเวอเรสต์

สำหรับ วิทิตนันท์ โรจนพานิช หรือ หนึ่ง ชื่อนี้คงอาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสักเท่าไร แต่ถ้าหากเอ่ยถึงในนาม
ของวีรบุรุษของคนไทยที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้นั้น หลายคนคงจะต้องร้อง อ๋อ! ขึ้นมาในทันที
เพราะเขาคือคนไทยคนแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยนำธงชาติไทยไปโบกสะบัดบนยอดเขา
เอเวอเรสต์ได้ โดยที่ไม่เคยมีใครสามารถทำได้มาก่อน

ผมเจอตัวจริงของเขาในงาน Life is A Big Journey ณ อัมรินทร์ เอาต์ดอร์ ลิมิเต็ด โซนจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์
เดินป่า กีฬาเอกซ์ตรีมของอัมรินทร์พลาซ่า ซึ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ งานนี้รวบรวมกีฬาท้าทายหัวใจมาให้
คนไทยได้ร่วมสนุก พร้อมกับจับจ่ายซื้อหาอุปกรณ์เอาต์ดอร์ที่ถูกใจ

คุณหนึ่งย้อนเล่าให้ฟังว่า ความคิดที่จะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนั้นเกิดขึ้นหลังจากได้ไปทริปกับเพื่อนๆ
แล้วพบว่าน่าจะมีคนไทยที่พิชิตเอเวอเรสต์ได้สักที จากนั้นเขาเริ่มตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับเอเวอเรสต์อย่างจริงจัง
การพิชิตเอเวอเรสต์นี้ต้องใช้เงินมากถึง 23 ล้านบาท นั่นเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยความ
มุ่งมั่นและตั้งใจ เขาจึงออกติดต่อสปอนเซอร์ ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไม่มีใครที่จะเชื่อว่าจะมีคนไทยคนไหน
ที่สามารถพิชิตเอเวอเรสต์ได้ แต่ด้วยความพยายามที่ไม่ลดละและความร่วมมือจากเพื่อนๆ ในที่สุดก้าวแรก
ของการเดินทางสู่เอเวอเรสต์ก็เริ่มต้นขึ้น

“ผมทำสิ่งนี้เพื่อเป็นของขวัญถวายแด่ในหลวง” นี่คือแรงบันดาลใจอันสูงสุดที่ผลักดันให้คุณหนึ่งสามารถ
ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ สาเหตุที่ต้องเป็นเอเวอเรสต์ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ใครหรือประเทศไหนก็ตามที่
สามารถปักธงบนยอดของเอเวอเรสต์สำเร็จ จะได้รับการยอมรับจากนานาชาติ สิ่งนี้เองที่วิทิตนันท์ต้องการทำ
เพื่อเป็นตัวอย่างกับคนไทยทุกคนให้เห็นว่า “ถ้าเราต้องการมุ่งมั่นทำอะไรจริงๆ โดยไม่ย่อท้อ สุดท้ายแล้ว
ก็จะไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้”


ในที่สุดราว 8 โมงเช้า ตามเวลาท้องถิ่นประเทศเนปาล วันที่ 22 พ.ค. 2551 ณ ระดับความสูง 8,848 เมตร นั่นคือ
จุดที่สูงที่สุดของโลก...ยอดเขาเอเวอเรสต์ อากาศเบาบางเหลือราว 30% และในวันนั้นเองก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์
กับเขา นั่นก็คืออุณหภูมิที่ควรจะติดลบ 3040 องศาเซลเซียส กลับเพิ่มขึ้นเป็นราว 10 องศาเซลเซียส อย่างน่า
ประหลาดใจ ท้องฟ้าสดใสราวกลับธรรมชาติที่เคยโหดร้ายนั้น พร้อมที่จะยินดีต้อนรับนักปีนเขาคนไทยคนแรก
คนนี้ขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงสุดของโลกอย่างเต็มใจก็เป็นได้

หนุ่มไทยหัวใจเกินร้อยปีนไต่ขึ้นมาตั้งแต่ราว 2 ทุ่ม ของเมื่อคืนนี้จากบริเวณแคมป์สี่ และใช้เวลาราว 12 ชั่วโมง
โดยที่เขาเองนั้นยังไม่ได้นอนพักเลย ชายไทยคนหนึ่งค่อยๆ ย่างเท้าในช่วงสุดท้ายก่อนถึงจุดหมายขึ้นมาอย่าง
ยากลำบาก จนกระทั่งเขาสามารถก้าวเท้าขึ้นบนยอดเขาที่สูงที่สุดของโลก นั่นหมายความว่า ต่อไปนี้ในประวัติ
ศาสตร์ของประเทศไทยนั้นจะต้องจารึกไว้ว่า ในที่สุดก็มีคนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ

หลังจากนั้นเขาค่อยๆ หยิบเอาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาชูขึ้นเหนือศีรษะ
เพื่อให้เพื่อนชาวเชอร์ปาในทีมร่วมเดินทางครั้งนั้นถ่ายรูป “Who is he? รูปใครหรือ?” ฝรั่งคนหนึ่ง
ที่ยืนข้างๆ ถามขึ้น อีกคนหนึ่งตอบว่า “Your father? พ่อของคุณหรือ?” ดวงตาอันอ่อนระโหย
ของวิทิตนันท์กลับเป็นประกายขึ้นมาในทันที ก่อนยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากแล้วตอบไปว่า “Yes, he is. Not only
my Father, but also 60 Million Thai people–ใช่, แต่ไม่ได้เป็นพ่อของผมคนเดียว ท่านเป็นพ่อของคนไทย
ทั้ง 60 ล้านคน”


ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงตะโกนขึ้นมาจากมุมหนึ่งว่า “King of Thailand กษัตริย์ของคนไทย” แล้วฉับพลัน!
ก็มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ที่ยืนอยู่รอบๆ บริเวณแคบๆ เล็กๆ ณ จุดสูงของโลกว่า
“Long live the King!, Long live the King!–ขอจงทรงพระเจริญ! ขอจงทรงพระเจริญ”

หลังจากนั้นเขาค่อยๆ คลี่ธงชาติไทยที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบันทึกภาพ จากนั้นจึงหยิบเอาป้ายผ้าสีขาวสะอาด มีข้อความสีทองเป็นภาษาไทยว่า
“ทรงพระเจริญ อยู่ยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ ตลอดกาลตลอดไป” ที่สั่งทำ
ในกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ออกมาด้วย

ไม่กี่อึดใจเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีดังกังวานเหนือยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นครั้งแรกในโลกจากปากของ
ชายไทยคนนี้ พร้อมกับหยดน้ำตาของความดีใจที่ไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ การเดินทาง
ที่ยาวนานที่ต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่ในขณะนั้นความลำบาก ความเหนื่อยล้าต่างๆ ที่พบเจอมานั้น
ได้ละลายหายไปกับสายลม เพราะตอนนี้เขาทำสิ่งที่ตนเองได้พยายามมาเป็นเวลานานได้สำเร็จลง ณ จุด
ที่สูงที่สุดของโลก

การฟันฝ่าอุปสรรคครั้งนี้กลับทำให้เขาค้นพบเสน่ห์ของเอเวอเรสต์ในมุมที่ต่างออกไปนอกจากความสูง หรือ
ความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้วนั้น นั่นก็คือ มิตรภาพ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มก้าวเดิน
จนสิ้นสุดของการเดินทาง ไม่ว่าจากเพื่อนร่วมทริปชาวเชอร์ปา ซึ่งเป็นคนที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขานั้นและ
ยังรับหน้าที่เป็นคนนำทางไปสู่ยอดเขา หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ นักปีนเขาจากหลากหลายประเทศซึ่งมาพบเจอกัน
ระหว่างการเดินทาง ทั้งที่ประสบความสำเร็จในการเดินทางก็ดี หรืออาจจะบาดเจ็บล้มตายก็ดี แต่สุดท้ายมิตรภาพ
สามารถเชื่อมโยงทุกคนไว้ด้วยกันได้ ในที่สุด “มันคือการใช้ชีวิตร่วมกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมว่า
เอเวอเรสต์นั้นได้เปิดโอกาสได้ผมได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้ นอกเหนือจากธรรมชาติที่สวยงาม”
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่ได้พบหลังจากการพิชิตเอเวอเรสต์ คือการที่สามารถพิชิตใจของตนเองนั่นเอง

วิทิตนันท์ยังได้ให้ข้อคิดไว้กับคนไทยทุกๆ คนว่า ถ้าจะทำสิ่งไหนให้ประสบความสำเร็จเราต้องอย่าลืม 3H
นั่นคือ Heart คือทำอย่างไรให้เรารู้สึกสนุกกับสิ่งที่เรากำลังกระทำ Head คือต้องมีการคิดวางแผนและศึกษา
หาความรู้ก่อนที่เราจะลงมือทำ และ Hand คือลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ในที่สุดก็จะไม่มีเรื่องไหนที่เราทำไม่ได้

“อย่าแค่ชื่นชมในพระบารมีของในหลวงเพียงอย่างเดียว แต่เราความน้อมนำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติมาเป็น
ตัวอย่างมาทบทวนให้ดี เพราะทุกสิ่งนั้นล้วนมีความหมายที่ลึกซึ้งทั้งนั้น และเมื่อเวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้าก็ให้คิดถึง
ว่าในหลวงทรงเหนื่อยกว่าพวกเรามากมาย”
แววตาของผู้พูดเปล่งประกายด้วยความปีติซึ่งสามารถบ่งบอก
ได้ว่าไม่เพียงแค่ผู้ชายที่ชื่อ วิทิตนันท์ โรจนพานิช เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ คนไทยทุกคน
ก็สามารถทำได้ เมื่อชีวิตคือการเดินทางอันแสนยิ่งใหญ่ ขอเพียงเพียรพยายาม มีความตั้งใจจริงและหัดเรียนรู้
ที่จะเอาชนะใจตนเอง...


โหลดวิดีโอแห่งความประทับใจไปดูกันได้เลยครับ - ระวังต่อมน้ำตาของคุณนะครับ ผมเตือนแล้ว

http://www.mediafire.com/?vtnigtnxjxw

จาก - โพสทูเดย์


ผมเอามาจากท่าน Dr.Manhattan Thaiseo อีกที

หนังขายยา : ตำนานความบันเทิง


หนังขายยา : ตำนานความบันเทิง

เด็กยุคผมเติบโตมาพร้อมกับหนังขายยาในยุคหนังพากย์ 16 มม. มีมิตร เพชรา เป็นคู่พระคู่นางยอดนิยมตราตรึงอยู่ในความทรงจำมาจนถึงปัจจุบัน หาก วันไหนมีหนังขายยามาฉายที่วัดประจำหมู่บ้านจะต้องไม่เป็นอันกินอันนอนกันล่ะ เที่ยวไปวิ่งเล่นใกล้ ๆ กับรถบริการขายยา ดูพนักงานจัดโต๊ะวางสินค้าเพื่อจำหน่ายในตอนค่ำคืน ยิ่งตอนพนักงานกรอฟิล์มกลับเพื่อเตรียมฉายยิ่งอยากจะให้ค่ำเร็ว ๆ อยากจะให้พระเอกขวัญใจควบม้าต่อสู้กับเหล่าร้ายอย่างทรหด โลดแล่นบนจอเร็ว ๆ ครั้น พอตกเย็นบ้างก็จูงมือบุตร ฉุดมือมือหลาน ประสานมือแฟน เกี่ยวแขนกันมาดูหนังขายยา หนุ่มสาวบ้านทุ่งมีโอกาสได้พบกันและแต่งงานกันเพราะ หนังขายยา ก็มีหลายคู่เหมือนกัน

หน่วยบริการขายยาโดยใช้เกวียน เพื่อนำภาพยนตร์ออกไปใช้ฉาย และนำสินค้าออกจำหน่ายในชนบทห่างไกล

มิตร ชัยบัญชา เพชรา เชาวราษฎร์ ดาราคู่ขวัญในยุคหนังขายยาในอดีต

ชื่อของภาพยนตร์ในอดีตแต่ละเรื่องฟังแล้วน่าดูยิ่งนัก เช่น จอมประจัญบาน, ร้อยป่า, อ้อมอกดิน, เหนือเกล้า, แมวเหมียว, สายเปล, เพื่อนรัก, ไอ้แก่น, เทพธิดาบ้านไร่, แสนรัก ล้วนผ่านตามาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะ แสนรัก ทำเอาน้ำตาท่วมจอเพราะสงสาร บุญทิ้ง ตัวละครในเรื่อง แต่ที่ประทับใจเห็นจะเป็นหนังของ ดอกดิน ศิลปินตัวดำ ๆ คู่กับอรสา ตัวขาว ๆ ไล่มาตั้งแต่ นกน้อย, มดแดง, กบเต้น, ปูจ๋า ผมจำได้ว่ายุคหลังที่ดูหนังกลางแปลงเห็นจะเป็น ชุมทางเขาชุมทอง ของ ส.อาสนจินดา มีมิตร ชัยบัญชา ขี่ม้าต่อสู้กับเหล่าร้ายคู่พิสมัย วิไลศักดิ์ น่าชมยิ่งนัก ส่วนในยุค 35 มม. เท่าที่จำได้ที่ได้ดูคือเรื่อง วิมานสลัม ของสักกะ จารุจินดา ในยุคนั้นสมบัติ เมทะนี คู่กับดวงดาว จารุจินดา ของบริษัทถ่านไฟฉายตรากบ ฉาย ด้วยเครื่องอาร์ทอย่างดีส่องสว่างจนถึงดวงดาว หนังขายยาจึงถือเป็นความบันเทิงที่ดูได้ทั้งครอบครัว ดูได้ทั้งหมู่บ้าน ดูได้ทั้งชุมชน นับเป็นมหรสพความบันเทิงของชุมชนจริง ๆ

ร้อยป่า เรื่องดังในนิตยสาร บางกอกสร้างโดยพิษณุภาพยนตร์ มีครูเนรมิต กำกับการแสดง

จ้าวยุทธจักรหนังขายยาในอดีตมีหลายบริษัทด้วยกัน เช่น บริษัท โอสถสภา (เตกเฮงหยู) จำกัด, บริษัทถ้วยทองโอสถ, บริษัทเยาวราชจำกัด, ห้างยาไทย, กรุงเทพฟาร์มาซี, ห้างขายยาอังกฤษตรางู, บริษัท บีแอลฮั้ว, ห้างขายยาเพ็ญภาค, ห้างขายยาแสงสว่างตราค้างค้าว, ห้างขายยาศรีตระการโอสถ รวมทั้งโอวัลติน และคอลเกตปาล็มโอลีฟ เหล่านี้ล้วนผ่านตานักดูหนังในยุคอดีต

อ้อมอกดิน หนังดังในอดีต นำแสดงโดย มิตร เพชรา กำกับการแสดงโดยรังสี ทัศนพยัคฆ์

เคยอ่านประวัติความเป็นมาหนังขายยาของบริษัทโอสถสภา (เต็กเฮงหยู่) จำกัด พบว่า ในยุคแรกจะเรียกหน่วยฉายภาพยนตร์เคลื่อนที่นี้ว่า หน่วยปลูกนิยม ซึ่งเริ่มก่อตั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวปี 2487โดย การนำภาพยนตร์ไปฉายในชนบทถิ่นทุรกันดาร พร้อมกับการจำหน่ายสินค้าของบริษัท ซึ่งจะมีทั้งหน่วยรถยนต์ หน่วยรถไฟ และหน่วยเรือ ในพื้นที่แต่ละท้องถิ่น หากว่าในพื้นที่ในถิ่นทุรกันดารก็จะใช้เกวียนบรรทุกข้าวของเครื่องใช้ เครื่องปั่นไฟ เครื่องฉายหนัง จอ ลำโพงฮอร์น เพื่อที่จะให้บริการกับผู้ชมในท้องถิ่นห่างไกลอย่างไม่ย้อท้อ สำหรับ หน่วยรถยนต์จะให้บริการในพื้นที่ที่มีถนนไปถึง หน่วยรถไฟจะเป็นการจำหน่ายสินค้าตามบริเวณสถานีรถไฟ ส่วนหน่วยเรือก็จะวิ่งตามแม่น้ำลำคลองในเขตสมุทรปราการ อยุธยา ปากน้ำโพ สำโรง ปราจีนบุรี รวมทั้งลำคลองสายหลักในเขตกรุงเทพฯ

หน่วยบริการขายยาทางเรือในอดีต

ทีมงาน หน่วยปลูกนิยม ของบริษัทโอสถสภา จำกัด ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น หน่วยโฆษณาภูมิภาค ซึ่ง ทีมงานแต่ละคนจะมีความสามารถเป็นพิเศษ ทั้งเป็นนักพากษ์ นักร้องขับกล่อมแฟนภาพยนตร์ในช่วงการโฆษณาขายยา ส่วนการจำหน่ายสินค้าจะเริ่มในระหว่างการหยุดฉายภาพยนตร์ โดยบริษัทจะนำสินค้าออกจำหน่ายในราคาต้นทุนตามโค้วต้าในแต่ละคืน ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ประชาชนได้รู้จักสินค้าของบริษัท หากว่ามีคุณภาพก็จะหาซื้อมาใช้ตามร้านจำหน่ายสินค้าในตัวจังหวัด

เมื่อ ฉายภาพยนตร์แล้วเสร็จหน่วยบริการขายยาก็จะพักค้างคืนในหมู่บ้าน จากนั้นในตอนเช้าก็จะนำสินค้าออกจำหน่ายรอบหมู่บ้านอีกครั้งก่อนที่จะ เคลื่อนย้ายไปยังหมู่บ้านถัดไป หากว่าอยู่ใกล้เมืองก็จะพักในโรงแรมในตัวเมือง โดยมีเกณฑ์ในเวลา 1 เดือนจะต้องบริการให้ได้ 20 งาน นอกจากนั้นจะเป็นการฉายในงานมวลชนฉายตามงานวัดหรืองานบุญในแต่ละท้องที่

พนักงาน หน่วยปลูกนิยมของบริษัทโอสภา เต็กเฮงหยู จำกัด ในอดีต

อย่างไรก็ตาม หนังขายยา ถือ ว่าเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ได้ทั้งความเพลิดเพลินและความสามัคคีในชุมชน หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจในท้องทุ่งได้รับชมหนังความบันเทิงได้ซื้อ สินค้าราคาถูก นับเป็นการสร้างชุมชนบันเทิงอย่างแท้จริง

นอกจากการบริการ หนังขายยาแล้วในยุคนั้นแล้วยังมี หนังล้อมผ้าของบริการ ภาพยนตร์ต่าง ๆ โดยจะมีอุปกรณ์การฉายเหมือนกับหนังขายยา มาเปิดวิกฉายเก็บเงินในหมู่บ้าน รวมทั้งบริการหน่วยฉายหนังประจำจังหวัด หรือที่เรียกว่า หน่วย ปจว. นำภาพยนตร์ในแนวปลุกใจต่อต้านคอมมิวนิสต์ในชนบท มีภาพยนตร์ขาวดำ เรื่องดัง เหตุเกิดที่บ้านโพนไฮมาฉายให้ชม รวมทั้งภาพยนตร์ขาว ดำ ชุด เพื่อมาตุภูมิ ของรัชฟิล์ม เสียงในฟิล์มมีอดุลย์ ดุลยรัตน์ เป็นพระเอกนำ ถูกใจชาวบ้านทุ่งนักแล

หนังขายยาเริ่มหมดความนิยมภายหลังรอยต่อของหนังในยุค 35 มม. ส่วนหนึ่งก็จะมีหนัง กลางแปลง ที่ฉายในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้ง หนังล้อมผ้า ต่อมาพัฒนาเป็นงานสวนสนุกที่รวมความบันเทิงทุกรูปแบบทั้ง หมอรำ รำวง และภาพยนตร์ ประเภทซื้อบัตรครั้งเดียวดูได้ทุกอย่างสอดแจ้ง

หลังหมดยุคของ หนังขายยา ใน ยุคต่อมาบริษัทโอสถสภา จำกัด ยังคงมีการจัดกิจกรรมทางด้านความบันเทิง โดยมีการนำทั้งหนัง วิดีโอ และทีวี ไปฉายบริการสำหรับชุมชน รวมทั้งการรณรงค์ด้านสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เช่น โครงการสุขาวดี โครงการมหกรรมภาพยนตร์ เพื่อนำรายได้ไปใช้จ่ายในสาธารณกุศล ซึ่งเริ่มต้นในปี 2539 เป็นต้นมา

บรรยากาศการฉายหนังขายยาในอดีต

ภาย หลังความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ประชาชนในแต่ละหมู่บ้านหันมาชมโทรทัศน์ ซึ่งเป็นความบันเทิงราคาถูกในครอบครัว รวมทั้งการเข้ามาของระบบวิด๊โอ และระบบวีซีดี ทำให้หมดยุคของ หนังขายยา และ หนังกลางแปลง ทำ ให้บริษัท และห้างขายยาต่าง ๆ เลิกการประชาสัมพันธ์สินค้าทางบริการหน่วยขายยา หันมาประชาสัมพันธ์ทางสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

หลายท่านยังคงถวิลหาบรรยากาศ หนังขายยา ในอดีต แม้วันวานมิหวนคืน แต่ผมขอรำลึกความทรงจำผ่านบล็อก oknation.net นี้แหละ ชาวบล็อกได้อ่านแล้วจะรำลึกความหลังมาเล่าสู่กันฟังก็ขอเชิญนะครับ

ข้อมูล/ภาพเพิ่มเติมจาก

ธนิต ดวงกรมนา. ใต้เงากิเลน จากพ่อค้าหนังเร่ขายยา สู่การเป็นนักบริหารกรุงเทพฯ : 2544.

ศิริวิ ทองนาก. เปิดตำนานการตลาดรุ่นคุณปู่กับวิวัฒนาการหนังขายยา. มติชนรายวัน ; 30 กรกฎาคม 2540.

www.thaiflim.com

เครดิต http://www.oknation.net/blog/print.php?id=225910 โดย เจนอักษราพิจารณ์


เป็นอีกหนึ่งรายการที่เน้นเรื่องราวดีๆ(จริงๆคือดีมากๆเลยครับ) มีสาระให้กับทุกเพศทุกวัย กับรายการ "วิกสยาม" ทางช่องทีวีไทย ที่ได้ 3 พิธีกร แอ๊ด-ไชยวัฒน์ อนุตระกูลชัย, ตรีดาว อภัยวงศ์ และ เผ่าทอง ทองเจือ ที่นำเสนอเรื่องราวดีๆ มีสาระที่เชื่อมต่อระหว่างเรื่องราวในอดีตกับปัจจุบัน อาทิ เรื่องราวของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเมียหลวง เมียน้อย ประเภทของเมีย ตั้งแต่มาตุภรรยา(เชื่อใหม่ว่าหลายคนไม่รู้จักคำนี้) จนถึงทาสภรรยา(เดี่ยวนี้ไม่มีแล้วครับแต่เราจะได้รู้ความลำบกของหญิงสาวสมัยก่อน)
เวลาออกอากาศ : ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 น.

ผมแนะนำว่าเราควรไปชมมิวเซียมสยาม สักครั้งหนึ่งครับ อยุ่ไม่ไกลมากตั้งอยู่บนถนนสนามไชย กรุงเทพมหานคร ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบโต้ตอบโดยใช้ตัวละคร 7 ตัวเป็นตัวกลาง ซึ่งชื่ออะไรบ้างนัั้นผมก้จำไม่ได้ครับ แต่ที่แน่ๆคือมันหน้าสนใจมากครับ
พื้นที่จัดแสดงนั้นเป็นอาคารกระทรวงพาณิชย์เดิมภายในมิวเซียมสยามเป็นอาคาร 3 ชั้น มีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรทั้งหมด 17 ห้อง ภายใต้หัวข้อ "เรียงความประเทศไทย"

ในการเข้าชมมิวเซียมสยามนั้น ทางพิพิธภัณฑ์จะให้เริ่มชมจากชั้น 1 ต่อไปยังชั้น 3 และลงมาสิ้นสุดที่ชั้น 2 บทความนี้จะลำดับความตามลำดับการชม(ตอนแรกผมก้สงสัยว่าทำไม่แบ่งลำดับแปลกแต่ถ้าคุณไปจะรู้เองครับ)
ชั้น 1
ตึกเก่าเล่าเรื่อง ห้องจัดแสดงความเป็นมาของอาคารกระทรวงพาณิชย์เดิม การบูรณะซ่อมแซม รวมถึงการกลายเป็นมิวเซียมสยามในปัจจุบัน
เบิกโรง ห้องฉายภาพยนตร์สั้นเพื่อนำเข้าสู่การชมมิวเซียมสยาม ผ่านตัวละครต่าง ๆ
ไทยแท้ ห้องแสดงวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของไทย พร้อมการไขว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นของไทยแท้หรือไม่
ชั้น 3
เปิดตำนานสุวรรณภูมิ ห้องจัดแสดงที่ตั้งของดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ชาติพันธุ์ในดินแดนนี้ และวิธีการขุดค้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์
สุวรรณภูมิ ห้องจัดแสดงความเป็นอยู่ของผู้คนในสุวรรณภูมิ การติดต่อกับต่างประเทศ และหลักฐานประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ
พุทธิปัญญา ห้องแสดงหัวใจพระพุทธศาสนาและเรื่องราวที่แสดงถึงสัจจธรรม
กำเนิดสยามประเทศ ห้องแสดงเรื่องราวความเป็นมาอาณาจักรต่าง ๆ ในดินแดนสยาม และตำนานต้นกำเนิดกรุงศรีอยุธยา
สยามประเทศ ห้องแสดงเรื่องราวความเป็นอยู่ในสมัยอยุธยา และรูปจำลองเรือแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เรือพื้นบ้านถึงเรือพระราชพิธี
สยามยุทธ์ ห้องแสดงรูปแบบการรบ กำลังพล และการทำสงครามในสมัยอยุธยา
ชั้น 2
แผนที่:ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ ห้องแสดงแผนที่ประเทศไทยในสมัยต่าง ๆ
กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา ห้องแสดงเรื่องราวเมื่อสิ้นกรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งกรุงธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ การอพยพของคนชาติต่าง ๆ ในสยาม และการเปรียบเทียบว่ากรุงรัตนโกสินทร์เหมือนกับกรุงศรีอยุธยาอย่างไร
ชีวิตนอกกรุงเทพฯ ห้องแสดงวิถีชีวิตของคนในชนบทนอกกรุงเทพฯ โดยมีเรื่องข้าวเป็นหลัก
แปลงโฉมสยามประเทศ ห้องแสดงการเปลี่ยนแปลงสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 และเรื่องราวของถนนเจริญกรุง
กำเนิดประเทศไทย ห้องแสดงเรื่องราวในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
สีสันตะวันตก ห้องแสดงวัฒนธรรมตะวันตกที่เริ่มเข้ามาในประเทศไทย
เมืองไทยวันนี้ ห้องอุโมงค์กระจกขนาดใหญ่ มีโทรทัศน์ขนาดเล็กรายล้อมทั่วห้อง
มองไปข้างหน้า ห้องสำหรับแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าชม ด้วยระบบคอมพิวเตอร์แสดงข้อความบนผนัง
3ชั้นที่ผมไปนั้นผมใช้เวลากลับการถ่ายรูปไปเยอะเหมือนกันคุณลองไปดุสักครั้งซิครับแล้วจารู้ว่าการไปพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่ได้แค่ความรู้แต่จริงๆมันได้ความสนุกด้วยนะครับ

แม้ว่าทีมชาติไทยจะยังหวัง (ลมๆแล้ง) อยู่เรื่อยๆว่าจะได้ไปเตะฟุตบอลโลกกะเขาซักที่แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนไทยเคยไปฟุตบอลโลกมาแล้ว
ในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศษ ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ หรือ เปาอั๋น (คนบ้านผมอิอิ)ผู้ตัดสินชาวไทยถูกคัดเลือกจากฟีฟ่าให้เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินที่ได้ลงตัดสินในฟุตบอลโลกครั้งนั้นเขาได้ลงทำหน้านี่2นัด ในเกมรอบแรกที่โมร็อกโกและนอร์เวย์เสมอกันไปด้วยสกอร์2-2ซึ่งในเกมนี้ ซาอิด จีบาผู้เล่นโมร็อกโกได้รับใบเหลืองอาบยิ้มสยามอันลือลั่นจากเปาอั๋นเป็นที่ระลึกด้วย ส่วนอีกเกมเป็นเกมที่ปารากวัยชนะไนจีเรีย 3-2 ซึ่งผู้เล่นไนจีเรียได้รับใบเหลืองไปสองคนคือ อกุสติน อีกัวโวเอ็น และ เบเนดิกต์ อิโรฮา นี้ละคนไทยคนแรกที่เคย ลงสนาม ในฟุตบอลโลกมาแล้ว
เครดิต a day เล่ม77

วันนี้อารมดีเป็นพิเศษเนื่องจาก Liverpool ชนะ Manchester United 4-1 อิอิ ยังไงก็ขอโทษแฟนผีด้วยนะครับมาเข้าเรื่องดีกว่า
พักหลังๆนี้มีทีมฟุตบอลดังๆจากต่างชาติเข้ามาเตะในประเทศไทยถี่มาก แน่นอนเป็นเพราะกระแสความนิยมฟุตบอลต่างประเทศที่บูมมากในระยะหลายปีหลัง แต่หากย้อนไปหลายปีก่อนในวันที่กระแสความนิยมฟุตบอลนอกยังไม่แรงเท่านี้ ได้มีทีมฟุตบอลจากอังกฤษทีมแรกที่เดินทางเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย นั้นคือสโมารนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งในตอนนั้นมีซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษที่ชื่อ เควิน คีแกน ในวัยเอ๊าะๆร่วมทีมมาด้วย นิวคาสเซิลเดินทางมาเตะ2นัดกับทีมชาติไทยนัดแรกทำการแข่งขันที่สนามเทพหัสดินในวันที่26 พ.ค. 2526 ผลคือไทยผ่ายไปอย่างหวุดหวิด 1-0 ส่วนอีกนัดเดินทางไปแข่งที่สนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 25 พ.ค. 2526 ซึ่งนิวคาสเซิลก็ยังเอาชนะไปได้อีก 3-0
เครดิต a day เล่ม77