Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
จาก FW Mail :

เรื่องราวมานะ มานี ปิติ ชูใจ หลังจากเรียนจบ<
แพทย์หญิงมานี รักเผ่าไทย

ออก จากห้องคนไข้คนสุดท้ายเมื่อเวลา 16.55 น. พยาบาลที่รออยู่หน้าห้องรายงานว่า มีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาคอยพบอยู่ที่ห้องพักร่วมสองชั่วโมงแล้ว มานีรู้สึกตื่นแต้นจนแทบระงับไม่ไหว เธอขอบใจนางพยาบาลคนนั้นพลางถอดเสื้อคลุมและส่งเครื่องมือแพทย์ให้ แล้วรีบเข้าไปล้างมือในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด

ชื่อกิจกรรม งานแสดงและประกวดพลุนานาชาติ (International Fireworks)
วันที่จัดกิจกรรม วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2552
สถานที่กิจกรรม ริมทะเลสาบ เมืองทองธานี
เวลากิจกรรม

เวลา 14.00 น.
เริ่มกิจกรรม
กิจกรรมและนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ
การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ สินค้าราคาถูก
การแสดงวงโยธวาทิต
คอนเสิร์ตจากศิลปินนักร้องยอดนิยม

หากพูดถึงนักการเมืองรุ่นเก๋า ที่มีลีลาการพูดจัดจ้าน ดุเด็ดเผ็ดมัน เชื่อว่าหลายคนคงต้องนึกถึง สมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. และอดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของไทยคนนี้แน่นอนครับ และหลังจาก สมัคร สุนทรเวช ลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ.2551 ข่าวคราวของ สมัคร สุนทรเวช ก็เงียบหายไปพักใหญ่ ก่อนจะมีข่าวว่า สมัคร สุนทรเวช รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งตับ

          และล่า สุดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 พ.ย. อดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช วัย 74 ปี ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ด้วยโรคมะเร็งตับ โดยญาติจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเบญจมบพิตร

จากกรณีนาธาน โอมาน ที่เป้นข่าวในช่วงนี้ผมก็ขอเอาสรุปจากเว็บพันทิปมาให้ได้อ่านกันครับ
สรุปเรื่องราวทั้ง 13 ภาค

ขอตัดบทสรุปเก่าออก ท่านสามารถอ่านได้ตั้งแต่กระทู้ภาค 13 ลงไป สรุปเหตุการณ์ใหม่ตั้งแต่เรื่องแม่บ้านเต็มและลูกชายแจ๊คฟ้องนาธาน

- แม่บ้านของนาธานที่ทำงานกับนาธานมา 10 ปี คุณเต็ม สมาน สุขเสริม และลูกชายแจ๊ค อาทิตย์ กุลฝ้าย เข้าแจ้งความกับตำรวจว่านาธานหลอกยืมเงิน 3 แสนบาทและหนีหายไป  พร้อมกับนำตรายางจำนวนมาก มีทั้งตราหน่วยงานราชการและตราบริษัทสร้างหนังเป็นหลักฐานว่านาธานใช้หลอก ผู้อื่นว่ามีสัญญาจ้างเล่นหนัง Hollywood จริง  พร้อมทั้งสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประชาชนยืนยันว่านาธานมีพ่อแม่เป็น คนไทย พ่อชื่อนายธัญญา แม่ชื่อนางอุทัยวรรณ เป็นคนไทยแท้ มิใช่ลูกครึ่งเนปาล  ชื่อเดิมธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล และเปลี่ยนเป็นนธัญ โอมานันท์ภายหลัง


ขอบอกก่อนนิดนึงนะครับเดย์ จริงๆแล้วไม่ได้ชื่อ พีรวีร์ ดวงสินกุลบดี แต่ชื่อ ณัฐวัฒน์ ปาใจ อันนี้เป็นการเข้าใจผิดของสื่อ
แต่รูปนั้นเป็นรูปของ เดย์ จริงๆๆ

อีกอย่างนึงคือ เค้าไม่ได้เสียชีวิตจากไข้หวัด 2009 แต่เป็นเชื้อไวรัสที่ ลงปอด และเข้าสู่หัวใจ

โพสต์กันสนั่น เว็บไซต์ Smart-Mobile.com ไว้อาลัย “เดย์” หรือที่รู้จักกันในนามแฝงกันในบอร์ดว่า Creative7419 เจ้าพ่อแห่ง font บน iPhon ที่ทำให้ชาว iPhone ใช้ font ภาษาไทยได้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 2009 เจ้าตัวโพสต์ข้อความก่อนหน้านั่งรถไฟฟ้าไปหาหมอถึง 3 โรงพยาบาล ได้แค่ยาลดไข้พาราเซตามอล หมอเมินไม่สนตรวจเชื้อ ปล่อยให้กลับบ้าน จนกระทั่งตาย

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ได้มีการฟอร์เวิร์ดเมล ถึงการเสียชีวิตของ “เดย์” หรือ นายพีรวีร์ ดวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี ที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยมีการลิงก์เข้าไปในเว็บไซต์ Smart-Mobile.com ที่ นายพีรวีร์ ได้โพสต์ข้อความเล่าอาการป่วยของตนเองก่อนหน้านี้ จนเสียชีวิต ว่า

วันนี้ ไปหาหมอตามที่หมอนัด ขึ้น BTS ไป คนก็เยอะเลยต้องยืน สักพักเริ่มหวิวๆเริ่มคลื่นไส้ แล้วโลกก็มืดลง แขนก็เริ่มชา มองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณ 5 นาที จนถึงสยาม คนลงเยอะ ก็ตั้งสติ เพ่งเห็นลางๆ ว่า ที่นั่งว่าง ไม่ฟังเสียงล่ะครับ (หูอื้อ) คลำๆ แล้วนั่งเลย แล้วก็นั่งก้มหน้าแบบสุดๆ โลกเริ่มสว่างขึ้น ทางเดินสายโลหิตเหือดแห้ง มือซีดเหลืองชาๆ แอร์บนรถเย็นมาก แต่เหงื่อยังกับอาบน้ำใหม่ๆ แบกสังขารไปจนถึง พุ่งหาร้านข้าวกินข้าว แล้วก็ไปพบหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจ เอ่อ หมอครับเมื่อวันพฤหัส ผมก็เพิ่งโดนเจาะไปครับ แล้วเมื่อกี้ก็หน้ามืด เลือดหมดครับหมอ หมอบอกไม่เป็นไรเอานิดเดียว ผลตรวจเลือดออกมา เกล็ดเลือดปกติ เม็ดเลือดขาวปกติ ไข้เลือดออกไม่เป็น ทำหมองงอีกคนแล้ว เลยถามไปว่าหรือจะเป็น 2009 หมอบอกตัดไปเลย 2009 อาการหลักต้องไอ เจ็บคอ แต่คุณไม่ไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอะไรเลย ตัวร้อนเฉยๆ สรุปก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ นัดให้มาวันจันทร์อีก บอกว่า ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ต้องเรื่องใหญ่กันเลยล่ะ ต้องแอดมิดให้น้ำเกลือ เอาเลือดไปตรวจละเอียด หาธัยรอยด์ หานั่นนู่นนี่ คิดในใจว่านี่ต้องทรมานไปอีก 2 วันหรือนี่ แล้วหมอก็ให้ยาลดไข้มาแค่นั้น

วันรุ่งขึ้น “เดย์” โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ไม่ไหวแล้ว ไปกราบขอหมอนอน รพ.ดีกว่า จะกี่หมื่นกี่แสนก็ยอม เรียก Taxi มารับก่อน เดี๋ยวไปเองหน้ามืดอีก

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บไซต์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงการวินิจฉัยของแพทย์ ตั้งแต่ รพ.เอกชนแห่งแรกที่ไปหา แล้วแพทย์ระบุว่า เป็นไข้ติดเชื้อ ให้ยาพาราเซตามอลมากิน สองวันต่อมาไข้ไม่ลด ผู้ป่วยไปหาแพทย์ใหม่อีกครั้ง แพทย์ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตรวจละเอียด ให้พาราเซตามอลมาอีก จนไม่ไหวผู้ป่วยจึงนั่งรถไฟฟ้าไปพบแพทย์ตามสิทธิประกันสังคม แพทย์ฉีดยาให้กลับบ้าน

วัน รุ่งขึ้นแน่นหน้าอก ไปตรวจใหม่พบปอดติดเชื้อถึง 25% แต่แพทย์ก็ยังไม่สั่งให้นอน รพ.บอกให้กลับบ้าน จนกระทั่งผู้ป่วยรู้ตัวว่าไม่ไหวจึงไป รพ.แห่งที่ 3 และพบว่า เป็นไข้หวัด 2009 แต่ก็สายเกินไป ในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ที่ฟอร์เวิร์ดเมลนี้ ระบุว่า อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีการประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของแพทย์ และประชาชน แต่กลับมีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น


กระทู้ที่หนุ่มวัย 28 รายนี้ตั้งก่อนเสียชีวิต

“วันนี้ ไปหาหมอตามที่หมอนัด ขึ้น BTS ไป คนก็เยอะเลยต้องยืน สักพักเริ่มหวิวๆเริ่มคลื่นไส้ แล้วโลกก็มืดลง แขนก็เริ่มชา มองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณ 5 นาทีจนถึงสยาม คนลงเยอะก็ตั้งสติ เพ่งเห็นลางๆ ว่าที่นั่งว่าง ไม่ฟังเสียงล่ะครับ(หูอื้อ) คลำๆแล้วนั่งเลย แล้วก็นั่งก้มหน้าแบบสุดๆ โลกเริ่มสว่างขึ้น ทางเดินสายโลหิตเหือดแห้ง มือซีดเหลืองชาๆ แอร์บนรถเย็นมาก แต่เหงื่อยังกับอาบน้ำใหม่ๆ แบกสังขารไปจนถึง พุ่งหาร้านข้าวกินข้าว แล้วก็ไปพบหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจ เอ่อ หมอครับเมื่อวันพฤหัสผมก็เพิ่งโดนเจาะไปครับ แล้วเมื่อกี้ก็หน้ามืดเลือดหมดครับหมอ หมอบอกไม่เป็นไรเอานิดเดียว ผลตรวจเลือดออกมา เกล็ดเลือดปกติ เม็ดเลือดขาวปกติ ไข้เลือดออกไม่เป็น ทำหมองงอีกคนแล้ว เลยถามไปว่าหรือจะเป็น 2009 หมอบอกตัดไปเลย 2009 อาการหลักต้องไอ เจ็บคอ แต่คุณไม่ไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอะไรเลย ตัวร้อนเฉยๆ สรุปก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ นัดให้มาวันจันทร์อีก บอกว่าถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ต้องเรื่องใหญ่กันเลยล่ะ ต้องแอดมิดให้น้ำเกลือ เอาเลือดไปตรวจละเอียด หาธัยรอยด์ หานั่นนู่นนี่ คิดในใจว่านี่ต้องทรมานไปอีก 2 วันหรือนี่ แล้วหมอก็ให้ยาลดไข้มาแค่นั้น”


กระทู้ที่หนุ่มวัย 28 รายนี้ตั้งก่อนเสียชีวิต
วันรุ่งขึ้น “เดย์” โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ไม่ไหวแล้ว ไปกราบขอหมอนอน รพ.ดีกว่า จะกี่หมื่นกี่แสนก็ยอม เรียก Taxi มารับก่อน เดี๋ยวไปเองหน้ามืดอีก


คอมเม้น : จึ๋ย งี๊เซขอหมอฉีดวัคซีนเลยดีมะ - -* น่ากัวอ่า
อาการมันไม่ร้ายแรงแต่ก็ควรใส่ใจระวังบ้างเนอะ อุทาหรณ์ สอนใจ


ลืมบอกที่มา - -* http://www.oknation.net/blog/Germany/2009/08/28/entry-1

เพิ่มเติมๆ จาก ไทยรัฐ - -* http://www.thairath.co.th/content/tech/29383

ชาวเน็ตคิดถึง "เดย์ ไอโฟน" คนไอทีจนนาทีสุดท้าย
ในฐานะที่ทำตัวอักษรภาษาไทยให้ใช้งานบนไอโฟนได้ และจะเป็นตัวอย่างของนักพัฒนารุ่นใหม่ ญาติตั้งสวด 3 วันที่ จ.อุตรดิตถ์บ้านเกิด

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ของนายณัฐวัฒน์ ปาใจ หรือ "เดย์ ไอโฟน" นักพัฒนาที่ประดิษฐ์ตัวอักษรไทยที่ใช้บนไอโฟน เนื่องจากปอดติดเชื้อไวรัสและต่อมาเชื้อไวรัสได้ลามเข้าสู่หัวใจ เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2552 ที่ผ่านมา ได้ทำให้คนบนอินเทอร์เน็ต และสังคมผู้ใช้งานไอโฟน ต่างร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ เดย์ ไอโฟน โดยทางญาติและครอบครัว จะนำศพกลับจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 3 วัน และมีกำหนดจะฌาปนกิจศพในวันอาทิตย์ที่ 30 ส.ค.2552

รายงานข่าวแจ้งว่า นายณัฐวัฒน์ ปาใจ หรือ "เดย์ ไอโฟน" เจ้าของล็อกอิน Creative7419 ผู้ได้รับฉายา เจ้าพ่อแห่ง font บน iphone เกิดเมื่อวันที่ 20 ส.ค.2524 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ โดยผลงานฟอนท์ หรือ ตัวอักษรภาษาไทยสำหรับใช้งานบนเครื่องไอโฟนที่ เดย์ ไอโฟน เป็นผู้สร้างขึ้นมา ได้แก่ ไทย ตวัด (Modified by Creative7419 – smart-mobile.com) ไทย iannnnnGMO (Modified by Creative7419 – smart-mobile.com) ไทย แจ๋ว (Modified by Creative7419 – smart-mobile.com) ไทย Single (Modified by Creative7419 – smart-mobile.com) และ ไทยเปื้อมยิ้ม (Modified by Creative7419 , Original by Neilove – pdamobiz.com)

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า แบบตัวอักษรแบบดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้งานบนไอโฟนที่เป็นเฟิร์มแวร์ล่าสุด คือ iPhone 3.0 และต่อมามีนักพัฒนาคนอื่นๆ ได้เขียนแอพลิเคชันช่วยเปลี่ยนแบบตัวอักษรภาษาไทย ทำให้ผู้ใช้งานไอโฟนสามารถเปลี่ยนตัวอักษรได้หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้สร้างซอฟต์คีย์บอร์ดภาษาไทยบนไอโฟนอีกด้วย

รายงาน ข่าวแจ้งอีกว่า ผลงานการประดิษฐ์ตัวอักษรไทย ของเดย์ ไอโฟน เพื่อใช้งานบนไอโฟนทำให้คนไทย ได้ใช้งานอุปกรณ์สื่อสารนี้อย่างคุ้มค่า สมกับเงินที่จ่าย และมีความสุขในการใช้งาน เช่นเดียวกับการเข้าไปตั้งกระทู้เพื่อแจกฟอนท์ ที่พัฒนาขึ้นมา และ ถาม-ตอบ กับผู้ใช้งานไอโฟน และร่วมในกิจกรรมต่าง บนเว็บไซต์ www.smart-mobile.com และ www.thaiiphone.com ด้วย ความเป็นกันเอง จึงเป็นที่รักของคนในเว็บบอร์ดเสมอ แม้กระทั่งยามเจ็บป่วยเขาก็ยังถ่ายทอดเรื่องราว และบอกเล่าอาการเจ็บป่วยตลอดเวลาที่มีโอกาส ผ่านทางเว็บบอร์ดเพื่อเล่าให้เพื่อนๆ บนโลกออนไลน์ได้รับรู้

รายงาน ข่าวแจ้งด้วยว่า หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเขาได้กระจายไปสื่อทุกแขนง รวมถึงฟอร์เวิร์ดเมล์ ทำให้เว็บไซต์ที่เขามักเข้าไปโพสต์กระทู้ เต็มไปด้วยบรรยากาศโศกเศร้า หรือแม้แต่ไฮไฟว์ส่วนตัวที่ http://trojancop.hi5.com ก็มีเพื่อนฝูง ญาติ และคนใกล้ชิด เข้ามาร่วมให้คอมเมนท์ไว้อาลัยกับการจากไป ในโอกาสนี้ไทยรัฐออนไลน์ และทีมข่าวไอทีไดเจส ขอให้อาลัยกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนายณัฐวัฒน์ ปาใจ หวังว่าท่านผู้อ่าน และผู้ที่ใช้งานไอโฟนจะคิดถึงเขา ในฐานะที่ทำตัวอักษรภาษาไทยให้ใช้งานบนไอโฟนได้ และจะเป็นตัวอย่างของนักพัฒนา ที่คนรุ่นใหม่น่าดำเนินรอยตามต่อไป
เริ่มต้นหัวข้อได้หน้ากลัวมากครับแต่นี้ไม่ใช้หนังเป็นเพื่องแค่Fw mail ครับลองอ่านกันดูครับ
Subject: จุดจบประเทศไทย ปี 2553


ปี 2553 จุดจบประเทศไทย......ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย
เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ .....ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา .....ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน

สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค
ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14 ประเทศ
ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น
แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์
และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศ ที่จะเกิดตามมา

ผมเป็นนักทรัพยากรมนุษย์หลายปี เห็นอะไรขำขำ
มาก็มากผ่านการพัฒนาองค์กร มานับครั้งไม่ถ้วนแก้ปัญหาด้านแรงจูงใจของพนักงานมาก็มากมายแต่ทราบมั้ยครับ ว่าอะไรเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้พนักงานหมดศรัทธากับองค์กรจนเป็นคนที่หมดไฟ
เป็นไม้ตายซาก (Deadwood) ขององค์กรลองดูนิทานอีสป เรื่องนี้กันครับ

ต้นกำเนิดวันปีใหม่ของเขาที่มันดันต้องมาเกี่ยวกับเราอิอิ เพราะวันสงกรานต์ปีใหม่ไทย คือปีใหม่ไทยนี้น่าแต่ยังไงก็ขอเล่าหน่อยนึงละกันอิอิ


มีเรื่องเล่ากันว่า จริงๆ แล้วในอดีต วันปีใหม่ไม่ใช่วันที่ 1 มกราคม หรอกนะคะ แต่เป็นวันที่ 1 มีนาคม ตามปฏิทินโบราณของชาวโรมัน โดยปฏิทินนี้จะมีแค่ 10 เดือน และเดือนมีนาคมจะเป็นเดือนแรกของปี เพราะปฏิทินจะนับตามการโคจรของดวงจันทร์ โดยเริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ จนถึงสิ้นฤดูใบไม้ร่วง

สำหรับการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มขึ้นครั้งแรกในยุคเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ สองพันปีที่แล้วประมาณช่วงกลางเดือนมีนาคม เรียกว่า vernal equinox ต่อมาชาวอียิปต์ เปอร์เซีย และเฟนีเชียนเริ่มเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของพวกเขาในช่วงเวลา fall equinox น้องๆ คงสงสัยสินะคะว่า Equinox คืออะไร เราสามารถให้คำจำกัดความของ Equinox ได้ว่า คือ ช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนเท่ากัน ซึ่งมักจะเกิดในช่วงวันที่ 21 มีนาคมและ 23 กันยายน ส่วนชาวกรีกจะเฉลิมฉลองตาม winter solstice หรือวันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ทางซีกโลกเหนือ ซึ่งก็คือช่วง 22 ธ.ค. ถึง 5 ม.ค. นั่นเอง
นัยอันลึกล้ำของคำ “ขอบคุณ”


ขอบคุณความไม่มี
ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้

ขอบคุณความยากจน
ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ

ขอบคุณความล้มเหลว
ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ
ส่วนที่เหลือ
ขอบคุณความผิดพลาด
ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม

ขอบคุณความริษยา
ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ขอบคุณคำวิพากษ์ วิจารณ์
ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้
ที่ทำให้รู้จักครูชื่อประสบการณ์

ขอบคุณความผิดหวัง
ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่

ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า
ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น
ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่

ขอบคุณความป่วยไข้
ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ

ขอบคุณความทุกข์
ที่ทำให้รู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก
ที่ทำให้เราสละจากความยึดติดถือมั่น

ขอบคุณเพลิงกิเลส
ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน

ขอบคุณความตาย
ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ



ท่าน ว.วชิรเมธี
๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(ป้าแก้ว)
ไม่ได้อัปเดทหลายวันเนื่องมาจากว่าพาแแม่ไปเที่ยวเนื่องในวันแม่มาครับเลยทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมดเพราะผมนึกว่าผมตั้งออโต้ใว้ที่จริงตั้งใว้อีกบล็อคแง้ๆขอโทษแฟนๆด้วยนะ
อยากให้เพื่อนๆได้อ่านนะครับ.....และทำดีกับแม่ให้มากๆก่อนที่จะไม่มีโอกาส
ผมอ่านเจอมาดีมากเลยครับ


ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป เรียน เที่ยว นอน กิน
ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม
ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม
และผมก็เชื่อว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กัน
'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง'
'กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย'
'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง'
'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ'


ประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิดและคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทร
ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์
ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น
พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ
ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน
'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ


แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน' 'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง'
'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' 'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง' 'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ'

โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ
แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย
ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว
ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง
จนกระทั่งวันนั้น 'ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย'
'เร็วๆสิ เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ'
'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ'
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home'
'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย'
ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป
เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ


'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่'


หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน
และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง
แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น
ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น


และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ
หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม'
สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม
วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม


ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต


ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา


โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่
ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ


คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ


คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหา ผม


'และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต'


ในบางครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว'
มันก็ไม่เป็นความจริง 'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว'
อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม


หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลาย ๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น


หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเ ราเอง
'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป'


ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์
รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง
แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

เอามาจากเด็กดีครับ
เอาบทความดีๆมาฝากกันครับ
น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง "การลอกเลียนแบบ" เป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเทอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน


จาก http://www.dhammajak.net
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตหรือป่าวนะ
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2009
ชั่วโมงที่12 / นาทีที่ 34 / วินาทีที่ 56
เวลาและวันที่ เมื่อเรียงกันแล้ว
12:34:56 07/08/09
โอ้พระเจ้า เรียงสะสวยงามเลยนะนี้
1 2 3 4 5 6 7 8 9
ช่วงเวลานี้จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตคุณ
เราผ่านช่วงเวลาดีๆไปแล้วแต่เราไม่ค่อยได้ทำความดีกันเ่ท่าไหรเลย แย่จริงผม

เพื่อว่าหลายๆคนจะไม่รู้ว่าเดียวนี้เขามีเว็บนายกแล้วนะครับ อะไรจะทันสมัยซะ ตอนแลกก็hi5 และ facebook ต่อมาก็ twitter และปัจจุบันกับเว็บนี้เลยครับ http://www.pm.go.th/ ให้ชาวโลกได้รู้ว่าท่านนายกก็ไม่ธรรมดา(ผมไม่ใช่เหลืองและแดงนะขอบอกเดียวมาแบนบล็อคผมอีก)
ติดใว้ข้างบนแล้วนะครับเพื่อบางที่ผมไม่ได้เข้ามาอัปเดต หลังจากนี้จะได้เอาข่าวที่เป็นไทยจริงๆมาลงซะที่ เพราะข่าวอื่นๆข้างบนบล็อคของเรามีแล้ว อิอิ เดียวจาลองเอาพวกเว็ปเพลงมาติดบวกแชทด้วยก็ดีอิอิให้เพื่อนๆได้ทิ้งข้อความกันใว้แทน และอีกไม่นานผมจะเปลี่ยนบล็อคนี้เป็นเว็บละครับ รอคิดชื่อดีๆได้ก่อนครับ
ผมได้คลิปนี้มาจากการเล่นtwitter บ้างคนอาจได้ดูแล้ว แต่หลายๆคนอาจยังไม่ได้ดู ผมเลยขอหยิบยกมาให้เพื่อนๆได้ดูกัน เป็นคลิปวีดีโอเรียกขวัญกำลังใจ

เรื่องนี้ผมอยากให้คนไทยทุกคนได้ดูแล้วคุณจะรู้ว่า....
ปกติเวลาเรารับโทรศัพท์เราจะพูดว่าอะไร หลายๆคนมักพูดว่าฮัลโหล สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ ผมสังสัยมากเลยว่าทำไมต้องฮัลโหล ในเมืองความหมายมันก็อันเดียวกันกับคำว่าสวัสดี บ้างคนก็ใช่ศัพท์ซะ แบบว่า งุงิงุงิ บ้างละ เหวย บ้างเราก้เข้าใจเขาว่าเขาก้วัยรุ่น แต่รู้หรือไม่ว่าคำว่าสวัสดีออกจากปากเด็กไทยน้อบลงทุกทีแล้วครับ
วันนี้ผมไปเจอบทความดีๆเกี่ยวกับ twitter และ MSN เลยเอามาให้อ่านกันครับ

twitter: ไม่ต้องรอใครออนไลน์ อยากคุยอะไรกับใครโพสไปได้เลย พอออนไลน์เค้าก็เห็นเองแล้วค่อยมาตอบเวลาที่สะดวก

MSN: รอใครออนไลน์อยู่ได้คุย ถ้าไม่ได้ออนอดคุย ฝาก offline message ก็ไม่เวิร์ค

twitter: ไม่ว่าอยู่ที่ไหนถ้าออนไลน์ได้ ก็ tweet ได้ง่ายๆทันใจ

MSN: ไม่ว่าอยู่ที่ไหนถ้าออนไลน์ได้ ก็เล่นเอ็มได้ แต่ก็ต้องรอคู่สนทนาออนไลน์อีก

twitter: ไม่ต้องทนรำคาญไวรัส MSN ที่ระบาดหนักมาตลอด

MSN: ต้องทนให้ชิน มันแก้ไม่ได้จริงๆคนเล่นเอ็มส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าติดไวรัสนี้ทำให้คนอื่นรำคาญ

twitter: ใช้เวลาเล่นน้อย ว่างสักแป๊ปเดียวก็เล่นได้บ่อยๆ

MSN: ใช้เวลาเล่นเยอะ ถ้าออนตรงกันแล้วมักคุยเพลินติดลมทั้งวัน ไม่ต้องทำงานทำการ


twitter: ใช้กระจายข่าวได้สะดวก โพสลิงค์ข่าว คนที่ติดตามเราได้เห็นหมด

MSN: ถ้าจะกระจายข่าวต้องส่ง message ทีละคน


twitter: ใช้แสดงความรู้สึกอารมณ์ในเวลานั้นๆได้ตลอดเรื่อยๆ โดยไม่ถูกลบ อ่านย้อนหลังได้

MSN: ใช้แสดงความรู้สึกอารมณ์ได้โดยการตั้งชื่อเอ็ม(วิธียอดฮิต) แต่พอจะเปลี่ยน อันเเก่าก็ต้องลบหายไป(เสียดาย)


twitter: ส่งข้อความได้หลากหลายทั้งแบบส่วนตัว (Direct message) และแบบให้คนอื่นที่ติดตามเห็นได้ด้วย (Public Reply)

MSN: ส่งข้อความได้แบบส่วนตัวอย่างเดียว


twitter: Forward ข้อความของอีกคนไปยังอีกคนได้ด้วยการสะดวก

MSN: ต้อง Copy ข้อความแล้วส่งไปยังอีกหน้าต่างของอีกคน


twitter: ส่งรูปได้โดยผ่าน twitpic ส่งคลิปได้โดย 12seconds

MSN: ส่งไฟล์รูปไฟล์งานได้โดยตรงเลย


twitter: สามารถ Retweet เพื่อให้คนที่ติดตามเรา แต่ไม่ได้ติดตามเจ้าของข้อความเด็ดๆ ได้เห็นข้อความได้ด้วย

MSN: .....


นาย A กับนาย B ไม่ได้เจอกันหลายปี พอได้มาออนไลน์เจอกันใน MSN ต้องคุยกันอยู่หลายชั่วโมง ในการไถ่ถามความเป็นมาเป็นไปของทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็ต้องรอพรหมลิขิตให้ได้มามีจังหวะออนไลน์ตรงกันและว่างตรงกัน เพื่อที่จะได้คุยกันอีกครั้ง แล้วก็ต้องมาถามเรื่องราวเป็นมาเป็นไปย้อนหลังแบบนี้ทุกครั้งอีก

แต่ ต่อไปนี้ นาย A กับนาย B จะไม่ต้องทำอย่างนี้อีกแล้ว เมื่อนาย A กับนาย B ใช้ twitter คิดตามกันและกัน ด้วยข้อความสั้นๆที่โพสเรื่อยๆในแต่ละวัน ตอนนี้ทำอะไรบ้าง ไปที่ไหนบ้าง วันนี้รู้สึกยังไงบ้าง ไปเจอข่าวเด็ดในเว็บนี้แล้วอยากบอกต่อให้รู้ และอีกมากมายที่คนเราต้องการจะสื่อสารในแต่ละวันสู่คนรอบข้าง

twitter จึงเป็นช่องทางการสื่อสาร ที่สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ยุคปัจจุบันได้มากที่สุดในขณะนี้!
ต่อ ไปนี้ นาย A กับนาย B ถ้าได้มาออนไลน์คุย MSN กัน จะใช้เวลาคุยน้อยลงกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ต้องเล่าเท้าความอะไรมาก รู้กันหมดแล้ว ผ่านทาง twitter

เครดิต http://www.oknation.net/blog/iboat/2009/05/14/entry-1

ไม่หน้าเชื่อว่าiphoneจะแทบไม่แตกต่างกับ3310เลยนะนี้ อิอิว่าไปนั้นคนคิดนี้ก้เข้าใจหาจุดคล้ายคลึงมาเล่นได้นะครับนี้
เดือนนี้ไม่ค้องบอกก็รู้ว่าเดือนอะไรนะครับและมีความหมายอย่างไรสำหรับคนไทยวันนี้ผมหยิบบทความนี้มาให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ก่อนที่จะถึงวันที่ 12 สิงหาคม หรือ ก็คือวันแม่นั้นเอง (อ้าวแล้วไปบอกเขาทำไมนี้
)
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง

เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา

เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน

เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน

เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า 'ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป...''

เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก

เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

เมื่อคุณอายุ 10ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถ
โดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง

เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)

เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ

เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า 'แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก'

เมื่อ คุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ

เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง

เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว

เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน

เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า

เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า 'แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย'

เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า 'หนู(ผม)ไม่
อยากเป็นอย่างแม่'

เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ

เมื่อ คุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า'มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่ กระไร'

เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า 'แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย'

เมื่อ คุณอายุ 25 ปี (สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'อายคนอื่นเขาน่า แม่'

(สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดน ไม่มีแม่'

เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า 'สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่'

เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า 'ตอนนี้ไม่ว่างเลย'

เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า 'มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ'

และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่'แม่'

ไม่ มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ'แม่'ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ

ลอง ถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม

รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่า เพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก'แม่'ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็'รัก'ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ'รูป'ของแม่เท่า นั้น
ภาษาไทยเรานั้นมันดิ้นได้ครับและเอามาดัดแปลงได้มากมายและนี้คื่อหนึ่งในนั้นครับกับภาษาไทยวันละคำ จิ๋วระทวย แท่งหฤหรรษ์ ทายซิแปลว่าอะไร
พหุบัญชร หมายถึง Windows หรือหน้าต่างหลายๆบาน
คำว่าพหุ แปลว่า มาก,หลาย
และบัญชร แปลว่า หน้าต่าง

จุดอิทธิฤทธิ์ ฟังดูน่าตื้นเต้นดีไหม แปลตรงตัวได้ว่า
PowerPoint

พหุอุบลจารึก รวมแล้วแปลว่า Lotus Notes
สำหรับคำว่าอุบล หมายถึง ดอกบัว

ภัทร สั้นง่ายได้ใจความ ภัทร แปลว่าดี, เจริญ, ประเสริฐ
ซึ่งก็คือ EXCEL นั่นเอง

ปฐมพิศ ปฐม แปลว่าพื้นฐาน หรือ Basic
พิศ แปลว่าการมอง คล้ายๆกับ Visual
เหมาเป็น Visual Basic

พหุภาระ Multitasking คำว่าพหุถูกนำมาใช้อีกแล้ว
ก็ดันทำหลายงานพร้อม ๆ กันเลยเป็นพหูพจน์นะซิ

แท่งภาระ ชุดต่อเนื่องของคำว่าภาระ หรือ Task
ดังนั้นแท่งภาระจึงหมายถึง Taskbar

แท่งหฤหรรษ์ แปลได้ความหมายดีมากคือ Joystick
เพราะใช้ในการเล่นเกมทำให้เกิดความสุข

สรรค์ใน สรรค์ หมายถึงสร้าง ซึ่งก็คือ Build
รวมกับในหรือ in
เป็น Build-in

ยืนเอกา เอกา แปลว่า โดดเดี่ยว, ยืนแปลว่าไม่ได้นั่ง
รวมความได้ว่าไม่ได้นั่งคนเดียว หรือยืนคนเดียว หรือ
Standalone

จิ๋วระทวย อย่าแปลเอง ฟังก่อน
Micro แปลว่าเล็ก, จิ๋ว
ส่วน Soft แปลว่าอ่อน, นุ่ม
ดังนั้นจิ๋วระทวยหมายถึง Microsoft
ว่าแล้วก็ตัวใครตัวมันนะ

ที่มา http://thaimisc.pukpik.com/fre...php?user=hydro-1&topic=335

วัยยี้ผมขอแนะนำ น้ำพริกกะปิ กับผักทอด อาหารยอดธรรมดาที่ไม่ธรรมดาบังเอิญวันนี้ผมได้ลองทำอาหาร แล้วเมนูก็คืออย่างที่เห็นแต่มันไม่ อร่อยว่าอะทำให้ผมรู้ว่าการทำอาหารตามคู่มือไม่ได้ทำให้อร่อยสู่คนที่ทำเป็นประจำไม่ได้เลยจริงๆ 555+
แค่อยากจะบอกว่าเดี่ยวนี้มีภัยคุกคามทรัพย์สินของท่านมากมายครับ ไม่ว่าฝาครอบatmปลอม เครื่องแสกนบัตรatmท่าน หรือแม้แต่ สลิบบัตรatm ท่านก็ทิ้งแบบปกติไม่ได้ครับเพราะมิจฉาชีพเก่งขึ้นจนจำได้แม่แต่เสียงตัวเลขที่ท่านกดรหัสเลยหละครับ นานอะไรจะหูดีขนาดนั้นแต่นี้เป็นเรื่องจริงครับ ยังไงก็ระวังภัยกันหน่อยนะครับ
ไม่เกี่ยวอะไรกับเราหลอกครับแค่วันนี้ผมเห็นเพื่อนสองคนถือน้ำอัดลมวองยี่ห้อนี้มาแล้วผมเลยถามว่าอะไรอร่อยกว่ากันมันดันตอบพร้อมกันว่า (คนแรก เป็ปซ๊่ อีกคนบอก โค้ก) เอาแล้วไงดันไปแหย่เสือเพราะสองคนนี้ไท่ถูกกันเพราะไอ้แมนยูกะลิเวอร์พลูนี้หละ แต่ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับบอลเรามาดูว่าทำไมน้ำอัดลมสองยี่ห้อนี้ไม่ถูกกัน

โหเล่นแรงเหมือนกันนะครับนี้ 2แลก1อะคิดดู พี่โค้กเราจะยอมหรือ
วันนี้เอากลอนเกี่ยวกับความรักมาฝากครับผมได้มากจากเว็บหารายได้ผ่านเน็ตงับ ไม่หน้าเชื่อเหมื่อนกันว่าในเว็บแบบนั้นจะมีอะไรดีๆเยอะเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าไปอ่านกลอนกันเลยครับ

อยากให้โลกหมุนกลับ
เพื่อเราจะได้เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่
จะทุ่มเททุกสิ่งอย่างตั้งใจ
ให้คืนวันสดใสดั่งดวงดาวละตะวัน


พรุ่งนี้ต้องดีกว่านี้
และวันนี้ต้องผ่านไปอย่างมีค่า
ความฝันอยู่ไม่ไกลหากใจจะคว้า
ขอเพียงอย่าท้อแท้แค่นั้นเอง

credi thttp://ptc.icphysics.com/webboard/SFM/index.php?topic=39237.0

ในเวลานี้เราได้ลูกหมีแพนด้าแต่เรากลับต้องมาเสียช้างพังกำไล

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ช้างพังกำไล หรือ พังกำไร ประสบ อุบัติเหตุรถที่ใช้บรรทุกจาก จ.สุรินทร์ กำลังพาไปผสมพันธุ์ในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เกิดเบรกแตก พุ่งชนเขาบริเวณช่องตะโก ต.ทัพราช อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ส่งผลให้ พังกำไล ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาหน้าหักทั้งสองข้าง ตามลำตัวมีรอยถลอกหลายแห่ง ต้องนอนร้องอย่างทรมานรอความช่วยเหลืออยู่หลายชั่วโมงกว่าจะรถเครนและทีม สัตวแพทย์จะมาถึง และนำตัว พังกำไร ไปรักษาต่อที่สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ จ.สุรินทร์
วัยรุ่นไทยสมัยนี้นิยมของนอกทุกชนิดอะไรก้ได้ที่ไม่ใช่ไทย เพราะกระแสสังคมกระมั้งครับ แต่คุณรู้อะไรหรือมัยว่า ก็มีชาวต่างชาติที่ชอบเพลงไทยและร้องเพลงไทยได้ด้วยนะครับ อย่าง vdo clip ที่ผมเอามาให้ดูนี้

และยังมีอีกหลายคนที่สามารถร้องเพลงลูกทุ่งได้ ในขนาดที่เด็กไทยบางคนอายที่จะร้องเพลงลูกทุ่งลูกกรุง ที่พวกเขาบอกว่ามันบ้านนอก....
เนื้อเพลง ราตรีสวัสดิ์ - ฟักกลิ้ง ฮีโร่



ผมได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับทหารมากมายในช่วงนี่แต่ทุกคนลืมอะไรไปหรือป่าวว่าพวกเขาทำหน้าทีอะไรและปกป้องใคร ผมได้ฟังเพลงนี้และได้ดูmvเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าอยากให้เพื่อนๆได้ดูบ้าง ข้างล่างนี้คือเนื้อพลงครับ
วันนี้ฉันมีนิทาน อยากเล่าให้เธอฟัง
นิทานเรื่อง ท ทหาร อดทน
เวลาเค้ายืนเค้าแนบปืนกลไว้ข้างกาย
ทั้งที่เค้าไม่เคยใจร้ายและไม่เคยคิดฆ่าคน
แต่เป็นอีกคืนที่เค้าต้องออกลาดตระเวน
เป็นหน้าที่ของกองพันทหารราบผู้รักตัวเอง
น้อยกว่าชนในชาติไทย
เพราะรู้ว่าเลือดเนื้อเค้าจะสละไม่ให้เราเป็นทาสใคร
ในขณะนั้น ผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตี
เสียงปืน ดังสนั่นตอนเวลาเลยเที่ยงคืนกว่า
เสียงระเบิดดังก้องกึกไปทั่วทั้งป่า
พร้อมเสียงกระสุนปืนทะลุตัวจ่า
เค้ารีบยกปืนกลข้างกายประทับบ่า
ในขณะที่ยิงสวนไปเค้าคิดแต่ว่า
ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของชีวิต
เค้าก็ยินดีที่จะสละทุกอย่างด้วยยศอันน้อยนิด
ขอเพียงคนในชาติได้หลับสบาย
เค้าจะยืนหยัดปกป้องแผ่นดินแม้ชีพมลาย

ในราตรีที่ด้ามขวานลุกเป็นไฟ
ประเทศไทยเจ้าเอ๋ยมีคนฝากเพลงนี้มาให้

หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับฝันดี
คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะดูแลด้วยชีวิตของฉัน

ในคืนที่ผมกินเหล้าอยู่นั่งเล่น
ในคืนที่ป้าข้างห้องยังตั้งวงป๊อกเด้ง
คืนที่เด็กมัธยมนั่งท่องตำราเอนท์จุฬา
คืนที่ใครหลายคนลืมชื่อคนเดือนตุลา
คืนที่คุณนอนหลับอยู่บนเตียง

ทั้งหมดคือคืนเดียวกันกับเสียงปืนที่ดังเปรี้ยง
ของทหารต่อต้าน ข.จ.ก.
ผู้ไม่ยอมให้ใครมาเผาโรงเรียน เผาตำรา ส.ป.ช.
และยังไม่มีตอนจบของนิทาน
มีเพียงแต่ตอนรุ่งสางไม่เป็นศพก็พิการ
เพราะในทุกเช้าที่เราตื่นมาเมาขี้ตา
มันคือเช้าแห่งการสูญเสียที่ 5 องศา 37 ลิปดา
เขาตายเพื่อคนในชาติได้หลับสบาย
เขาจะยืนหยัดปกป้องแผ่นดินแม้ชีพมลาย

ในราตรีที่ด้ามขวานลุกเป็นไฟ
ประเทศไทยเจ้าเอ๋ยมีคนฝากเพลงนี้มาให้

หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับฝันดี
คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะดูแลด้วยชีวิตของฉัน
ฝากดาวบนฟ้า ร้องเพลงนี้ให้เธอฟัง
หากฉันไม่ได้กลับ อย่างน้อยให้เธอหลับสบายก็พอแล้ว
หลังจากโดนแบนผมเลยมีความคิดที่ว่าหน้าจะลองให้ติดโฆษณาในบล็อคของผมจะดีใหมหว่า เลยลองเทสดูด้วยราคา100บาทสำหรับ125*125(โปรโมชั้น300ติดไป5เดือน) กลับด้านบน468*60 ราคา 300(โปรโมชั้น900ติดไป5เดือน)ข้างบน2เว็บ ด้านข้าง4เว็บ สนใจติดต่อ mikaalls1@gmail.com หรือ msn aionsa@windowlive.com

บล็อค pr3 ครับผม
ขอเวลาทำใจแบบงับเนื่องจากเว็บผมโดนได้ร่วมวงดนตรี google ban ไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนgoogleซะแล้วงับอาจอัปเว็บน้อยลงนะจ้ะ ภาพอาจไม่เกี่ยวเนืองแต่ เราไม่ยอมแพ้นายหลอกนะ เดียวเจอกันใหม
กำลังเศร้าอยู่ใช่ไหม ? เพิ่งจะร้องไห้มาหรือเปล่า ? รับกำลังใจอุ่น ๆ สักแก้วมั้ย ? …. ระหว่างการเดินทางที่เร่งรีบในวิถีประจำวัน อาจมีบางจังหวะของเข็มนาฬิกา ที่สะดุดล้มลง บางครั้งก็เจ็บมาก! บางครั้งก็เจ็บน้อย! แต่ทุกครั้งที่ล้มลง ส่วนใหญ่เราจะย้ำกับตัวเองซ้ำๆให้ “อดทนเข้าไว้” สำหรับคนที่หัวใจแข็งแรง ก็อาจลุกขึ้นมาแล้ววิ่งต่อไปอย่างง่ายดาย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับบางคนที่หัวใจอ่อนล้า ก็อาจหมดแรงลุก ได้แต่นั่งถอนหายใจมองดูแผลที่เกิดจากการหกล้มอย่างผู้แพ้ … … หัวใจ เป็นก้อนเนื้อที่เปราะบาง ที่ต้องหมั่นเติมสารละลาย คุณสมบัติเย็นชุ่มฉ่ำที่มีชื่อว่า “กำลังใจ” อยู่เสมอ เราสามารถเติมกำลังใจได้

ใน ทุกเช้าของวันใหม่ ในทุกย่างก้าวของชีวิต หรือแม้กระทั่งทุกวินาทีที่หายใจเข้า-ออก เมื่อไหร่ก็ตามที่หัวใจของเรารู้สึกว่า ตัวเองอ่อนแอ ก็ขอให้รับรู้เอาไว้เถอะว่า “ความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีคนที่อ่อนแออยู่บนโลกนี้ จะมีก็แต่คนที่ขาดกำลังใจเท่านั้น” อย่าพูดกล่าวโทษตัวเองว่า เป็นคนอ่อนแอ เพราะนั่นไม่จริง อย่าบอกกับตัวเองว่า พ่ายแพ้ เพราะในไม่ช้าเราจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ จริงอยู่ที่ว่า วันนี้ชีวิตเราอาจจะล้มคะมำอย่างไม่เป็นท่า แต่เชื่อดาวดวงน้อยเถอะว่า เพียงแค่เราหยุดพักสักครู่ และเติมกำลังใจให้ต้วเอง วันพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันของเราอีกครั้งอย่างไม่ยากเย็นเลย….สู้เขานะ ในที่สุดเราก็จะชนะ…
มาอีกหนึ่งบทความดีๆครับที่ผมอยากให้เพื่อนได้อ่านกันกับบทความนี้ พ่อครับ ผมขอโทษ ผมไม่รู้แหล่งที่มาที่แน่นอนใครรู้ว่ามาจากใหนเมล์มาบอกด้วยนะครับจะใสเครดิตให้ครับ

หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป

“กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"

สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผม

เพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้

. . . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเดินออกจากบ้าน

ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม

เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา

ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม

ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ

หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว

ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ

โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

แต่แล้ว!!

ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด

"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห

พ่อหน้าซีดทันที

"ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"

"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"

พ่อเงียบ . . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา

ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ

พ่อเบือนหน้า

"พ่อขอโทษ มานี่ . . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า

"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"

ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร

ไม่ยอมลงจากบ้าน

เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใคร

หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม

ยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา

ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป

. . . 14 กุมภาพันธ์

ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ

ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

ผมยอมออกมาจากห้อง

ผมไม่เห็นพ่อ

เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน

ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผม

ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่

"พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"

พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล

แม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"

ผมอึ้ง!!

แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า

พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ

รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น

"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "

"ทำไมล่ะครับ"

"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"

ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!

"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก

ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน

พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว

พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก

แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"

ผมกอดแม่ ร้องไห้

วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป

"พ่อครับ ผมขอโทษ . .
บังเอิญผมไปเจอบทความดีๆเข้าเลยเอามาให้ได้อ่านกันครับ อ่านแล้วตรอง ด้วย หัวใจ จะค้นพบความจริง ที่เราอาจไม่เคยยอมรับมัน

คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว
ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้
เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์

ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและ สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็ก
คนอื่นเท่าไหร่ เสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละและบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย
ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ด ดี้ ด้วยหมึกสีแดง
กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน - - -
คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย
แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ
เมื่อพบว่า ….

ครูชั้น ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า
"น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่
น่ารักมากทีเดียว"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 2 เขียนว่า
"เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า
"เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว
แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่
และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ
ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 4 เขียนว่า
"เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อน
และหลับในห้องเรียน

ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนเองมาก

ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมา
ให้ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้

ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ
ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าวง ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดู
กลางกองของขวัญอื่น ๆ
เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น
และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ

แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ
เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใดแล้วสวมมันไว้ที่ข้อมือ
และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ นิ่งอยู่นานพอที่จะพูดว่า
"ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ"

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง

วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน และเลิกสอนเลขคณิต
คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ
เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น
ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง
และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน
เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น"ศิษย์โปรด" ของครู

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้
บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว
ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง
เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยม
อันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า
คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดใน ชีวิตเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา
ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว
เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด
จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า
นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์

เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก
เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน
เขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน
จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อ-แม่เจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่

แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก
และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน

ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า
"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม
ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้"

ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า
"หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้วแหละเธอต่างหากที่สอนครูว่า
ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ
ได้รู้จักเธอนั่นแหละ"

เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้...........
โปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหนหรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะ
สัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ

เรื่องการหาเงินทางเน็ตผมคงจะไม่เขียนอีกในบล็อคนี้แล้วหละครับแต่คงต้องย้ายไปเขียนอีกบล็อคแทนตอนนี้กำลังทำอยู่ครับ เดี่ยวเสร็จแล้วจะลองเอามาให้เพื่อนๆดูกันครับ กำลังคัดแบบละเอียดยิบเลยครับพร้อม สอนแบบว่าเหมือนจับมือทำกันไปเลยดีกว่า ที่สำคัญผมสอนฟรีงับ

มีข่าวความเคลื่อนไหวบนโลก Cyberของคุณทักษิณ ที่เริ่มเพิ่มช่องทางสื่อสารโดยตรงกับมวลชน ผ่าน New Media ที่กำลัง Hot ทั้ง Facebook และ Twitter เลยแถมยังเป็นคนรับแอดด้วยตัวเอง และยังมีข่าวที่หน้าสนใจอีกว่าคุณอภิสิทธิ์เล่นก็เล่นกับคุณทักษิณด้วย ขอบอกก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวการเมืองนะครับ

Facebook

www.facebook.com/thaksinlive

Twitter

http://twitter.com/thaksinlive
วันนี้ขอหยิบเรื่องคุณสมบัติของละครไทยมาให้ได้อ่านกันครับ

1. ถ้าคุณเป็นคนจน แม้ไม่เคยมีงานทำก็มีเงินกินข้าว และ เปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเรื่อง

2. โฆษณามักจะตัดกับตอนที่นางเอกกำลังถือแก้วกำลังจะจิบยานอนหลับ

3. ตัวละครแต่งหน้าตลอดเวลา แม้กระทั่ง นอนหรือป่วย ขนตาและมาสคาร่ามันโปะเต็มหน้า

4. ไม่พระเอกก็นางเอกจะมีปัญหาครอบครัว

5. พระเอกนางเอกละครไทยจะเริ่มปิ๊งกัน เพียงแค่ล้มทับกัน แต่จ้องตาเป็นประกายประมาน 3วิ ซะทุกเรื่อง นางเอกต้องอยู่ด้านบนด้วยนะ

6. เมื่อหลงป่า ฝนจะตก และเมื่อฝนตก จะเจอกระท่อมหรือถ้ำ และเมื่อเจอกระท่อมหรือถ้ำก็ยั่งว่า...

7. หากพระเอกโดนรุมทำร้าย ท่อนไม้เป็นอาวุธที่นางเอกจะหาได้ทุกที

8. นางร้ายที่มาในชุดแดง จะมีความร้ายระดับนางมาร

9. ตื่นมาละแปรงฟันกันน้อยมาก

10. เรื่องสำคัญอะไรก็ตามที่จะบอกกัน มักโดนตัดบทเสมอ

11. แม้ว่าพระเอกจะจบสูงมาแค่ไหนสุดท้ายก็โง่ได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยคำพูดตัวร้าย เรียกได้ว่า พระเอกจะเชื่อทุกเรื่อง นอกจากเรื่องจริง

12. บุหรี่ เหล้า และ ยี่ห้อสินค้าโดนเซ็นเซอร์อย่างไร้สาระ แต่ตอนตบตีกัน ภาพใสแจ๋ว

13. พระเอกแขนเท่ากุ้งสามารถล้มนักเพาะกาย 4-5 คนได้มือเปล่า โดยท่าแรกมักจะเป็นเข้ามาชก และพระเอกปัดมือกัน และ โดนเตะออกไป

14. ร้องไห้หน้ายังสวย

15. เป็นธรรมดาที่จะเห็นตัวละครพูดกับตัวเอง เหมือนคนบ้า ( คิดในใจไม่เป็น )

16. ตัวร้ายมีจุดจบ 3 ประการ ตาย เป็นบ้า และ กลับมาดี ตัวร้ายไม่เคยได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ

17. เมื่อนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย พระเอกจะดูออกคนสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งโลกจะดูออกตั้งแต่วินาทีเเรก

18. บ้านนกอินทรีย์เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายละคร

19. ยิงปืนไม่เคยโดนกัน ถ้าจะโดนก็โดนหัว ไม่ก็ แขน

20. และตอนตาย หน้าตาจะยังสดสวย แม้ว่าตัวละครนั้นจะยิงสมองตัวเองตาย เลือดยังไม่เปื้อนหน้า แต่จะย้อยลงมาอย่างสวยงาม และนอนในท่าที่สวยหรู

21. นักธุรกิจ มีการประชุมน้อยมาก

22. เลขาหน้าห้องมักสวย และ เป็นสายให้กับนางร้าย

23. ไม่เคยเรียกเก็บเงินหลังจากกินข้าว

24. ท่าเต้นในผับ มีท่าเดียว

25. การตบหน้าด้วยส้นสูงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงหนึ่ง ทำให้การตบด้วยมือดูโลโซไปในขณะหนึ่ง

26. เวลาซ่อนตัวจากผู้ร้าย ต้องมีหนึ่งคนเหยียบกิ่งไม้

27. ถุงชอปปิ้ง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดไหน จะเบาโหวง เพราะข้างในไม่มีอะไรเลย

28. ตร. หมอ มีอย่างละคน คดีไหน โรค ก็ เจออยู่คนเดียว และ ตำรวจมักจะมาตอนจบ

29. แอบฟังคนพูดกันในห้อง ถึงห้องจะปิดอยู่ก็ได้ยิน

30. พระเอกจะเห็นเสมอเวลา นางเอกจับมือกับผู้ชาย แบบพี่น้องหรือเพื่อน แล้วก็เข้าใจผิด

31. พระเอกต้องมีเลือดกรุปเดียวกับนางเอกหรือ ญาตินางเอก แต่ห้ามบอกเชียวนะ ว่าตัวเองเป็นคนให้เลือด หนังจะจบเร็ว

32. ตอนจบพระเอก นางเอกยืนจับมือ มองหน้าักัน จูบหน้าผาก พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน คนใช้.. ยืนแอบดู แล้ว ตบมือ !!!แปะๆๆ

33. คนใช้ หรือลูกจ้างเป็นตัวเดินเรื่อง ประสานช่องโหว่งที่คนดูจะไม่เข้าใจ

34. ตัวละครยังไม่ทันได้พูดความจริงจนหมด ก็ตายไปซะก่อน

35. ช่วงหลัง นางเอกกับนางร้ายจะมีนิสัยใกล้เคียงกัน

36. พระเอกจะหมั้นกับนางร้ายมาเป็นปีๆ แต่ถ้านางเอกโผล่ปุ๊บ นางร้าย มีข้อเสียปั๊บ

37. พ่อพระเอกหรือนางเอก ต้องมีเมียน้อย

38. ต้องมีคนใช้ 2 ฝ่าย ธรรมะ และอธรรม ตีกันเอง

39. ตอนจบอาจจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นบ้า ชีจะนั่งบนเตียงผู้ป่วยพร้อมกับตุ๊กตาหนึ่งตัว

40. ตัวประกันถูกจับที่เดียวคือโกดัง และ พระเอกจะมาทันตลอดราวกับว่ามีโกดังที่เดียวในประเทศไทย

41. กระโดดบังกระสุนแทนถือเป็นสุภาพบุรุษที่สุดละ

42. เวลามีคนโทรเข้ามือถือ กล้องต้องซูมเข้าไปให้เห็นชื่อแล้วถึงจะรับโทรศัพท์ได้ เดี๋ยวคนดูไม่รู้ว่าใครโทรมา

43. ฉากงานหมั้นหรือแต่งงาน จะมีคนมาขัดจังหวะ แฉและเปิดโปงความจริง

44. ฉากเลิฟซีนมักจะอยู่ในห้องที่มีเตียงและผ้าหุ่มสีขาว

45. จูบเเล้วต้องตบ ตบแล้วต้องด่า ด่าแล้วต้องวิ่งหนีไป

46. ถ้าเป็นฝาแฝด นางเอกมักจะถูกแยกกันแต่เกิด คนนึงไปอยู่กับมหาเศรษฐี อีกคนอยู่สลัมส์ตกยาก แล้วก็ต้องสลับตัวกัน

47. เวลามีฉากข่มขืน ผญ.จะวิ่งไปล้มบนที่นอน เหมือนจะพร้อมให้ย่ำยีแล้ว

48. พ่อไปดูลูกนอน หรือ พระเอกไปดูนางเอกนอน จะห่มผ้าให้ ถึงห้องนอนจะไม่มีแอร์ หรือไม่ใช่หน้าหนาว

49. ไม่ว่าตัวละครใดๆ ที่เป็นผู้หญิง จะต้องแต่งตัวเวอร์มากๆ ไม่มีคำว่าชุดอยู่บ้าน เครื่องแต่งกายจะต้องเลิศหรูเกินมนุษย์ปกติ

50.ช่อง 3 ตอนจบ
ช่อง 7 ตอนอวสาน

credit:คุณแดงหน้าม้า
ผมคิดว่าเวบนี้หน้าจะทำง่ายสำหรับคนไทยคือเว็บวิจารณ์สินค้านั้นเอง เว็บyopiเป็นเว็บไทยที่ใหญ่พอสมควร
ถ้าอยากรู้รายละเอียดลงคลิกไปที่ หารายได้จาการวิจารณ์สินค้า ตรงที่ขีดเส้นใต้เลยครับ รายได้จากการเขียนบทวิจารณ์ จะมาจากการได้รับคะแนนโหวต หรือ ที่เรียกว่าประเมิน แบ่งเป็น

1. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์สองคนแรก ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะได้รับ 0.5 บาท ต่อการได้รับโหวตหนึ่งครั้ง

2. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์คนที่ 3-5 ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะได้รับ 0.4 บาท ต่อการได้รับโหวตหนึ่งครั้ง

3. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์คนที่ 6-8 ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะได้รับ 0.3 บาท ต่อการได้รับโหวตหนึ่งครั้ง

4. สมาชิกที่เขียนบทวิจารณ์คนที่ 9 เป็นต้นไป ของแต่ละสินค้า หรือบริการนั้น ๆ จะไม่ได้เงิน


รายได้จากการแนะนำเพื่อนมาสมัคร / จากเว็บไซด์ของท่าน

1. ถ้าเพื่อน หรือ คนที่สมัครผ่านท่าน / เว็บไซด์ของท่าน เริ่มเขียนบทวิจารณ์แรกท่านจะได้ทันที 5 บาทต่อหนึ่งคน

2. เมื่อเพื่อนของท่าน หรือ คนที่สมัครผ่านเว็บของท่าน คนนั้นมีรายได้ซึ่งเกิดจากโปรแกรมนี้ ท่านจะได้ 50% ของคน ๆ นั้น (ไม่ได้หักจากเขามาให้นะครับ แต่เอาที่เขาได้มาคูณ 0.5 แล้วเอาให้คุณ)

3. ท่านมีสิทธิได้รับเงินในข้อ 2 เป็นเวลาสามเดือนนับจากวันที่เพื่อน หรือสมาชิกคนนั้น ๆ ที่ท่านแนะนำมาทำการสมัครสมาชิก และได้รับสูงสุด 100 บาทต่อหนึ่งคนที่ท่านแนะนำมาสมัคร


การสมัครสมาชิก
หลักจากทำการสมัครสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านจะได้รับทันที 20 บาท

หมายเหตุ:

1.สมาชิกจะได้รับเงินโดยเช็คบริษัท สามารถนำไปขึ้นเงินได้ทันที
2.เราจะส่งเช็คไปให้ต่อเมื่อรายรับของท่านถึง 500 บาทขึ้นไป
3.สมาชิกจะขอเช็คได้ต่อเมื่อครบ 30 วันแล้วนับจากวันที่สมัคร

สมัครต่อได้เลยครับหารายได้จาการวิจารณ์สินค้า
ในเมื่อกล่าวถึงครูเพลงสุรพลไปแล้วก็ขอกล่าวถึง พระเอกตลอดการ มิตร ชัยบัญชา เป็นดารายุคเก่าที่ได้รับความนิยมมากคนหนึ่งของเมืองไทย เคยได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี จากสาขาดารานำฝ่ายชายที่ทำรายได้สูงสุด และรางวัลดาราทองพระราชทาน รางวัลดาราทองขวัญใจมหาชน เป็นพระเอกตลอดกาลของวงการภาพยนตร์ไทย ที่ไม่ใช่มีมนต์ขลังกับหมู่คนที่เกิดในยุคสมัยนั้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงคนรุ่นหลังอีกด้วย อย่างเช่น การก่อตั้งสมาชิกชมรม "คนรัก มิตร ชัยบัญชา" กับคนที่สนใจเรื่องราวของมิตรในช่วงหลัง และในปี พ.ศ. 2545 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดการแข่งขันรายการ แฟนพันธุ์แท้ ของพระเอกมิตร ชัยบัญชา ที่เป็นการแข่งขันหาแฟนตัวจริงในทุก ๆ รุ่นของมิตร โดยมีผู้ชนะการแข่งขันคือ จงบุญ สุขิน คิดดูสิครับว่าถ้ามิตร ชัยบัญชา วงการภาพยนต์ไทยคงเปลี่ยนแปลงจากที่เรารู้จักอย่างแน่นอน
วันนี้จะมาบอกว่าใกล้จะถึง The Grand Concert คิดถึงสุรพล สมบัติเจริญ แล้วนะครับ วันที่ศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2552 เวลา 18.00 น. ย้อนรำลึกคืนวันอันแสนหวานกับ ผลงานอมตะ ของสุดยอดราชาเพลง ลูกทุ่ง สุรพล สมบัติเจริญ สืบสานขับขาน โดยทายาทสมบัติเจริญ นำโดย สุรชัย สุรชาติ สุรบดินทร์ สมบัติเจริญ และนักร้อง นักแสดง มากมายเต็มเวทีท่านจะประทับใจและดื่มด่ำไปกับบทเพลงที่ท่าน คุ้นเคยตลอดทั้งงาน สนุกสนานกับละครเพลงโดยนักแสดงชั้นนำ
ขอเชิญมาร่วมกันส่งความคิดถึงไปยังบรมครูผู้วายชนม์ สุรพล สมบัติเจริญ ในบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่ ตระการตา ของอภิมหาคอนเสิร์ตลูกทุ่งอมตะ
บัตร บัตรราคา2,000 / 1,500 / 1,000 / 500 / 400 บาท ไม่รู้ว่าบัตรหมดยัง ยากไปดูจัง
แล้วก็ได้เวลาของศิลาจารึกหลักที่ 1ของไทยแล้วนะครับจริงๆอยากเอาเรื่องนี้มาลงให้นานแล้วครับแต่ยังไม่ได้ทำวักกะที(จริงๆลืมครับ)เอาเป็นว่ามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่าครับ หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้รับการยกย่องให้เป็นหลักฐานที่ทรงคุณค่าต่าง ๆ คือ ประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และนิติศาสตร์
เนื้อความที่ปรากฏบนหลักศิลาจารึกบ่งบอกถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ สภาพเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงหลักการเมืองการปกครอง ความเชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยนั้น ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ในยุดเริ่มแรกของ ประเทศไทย ที่พวกเราคนรุ่นหลังสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับรู้เอาไว้ และนำความรู้เหล่านั้นมาประยุคใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคต
หลักสิลาจารึกหลักที่หนึ่งได้ถูกค้นพบโดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครั้งที่ทรงยังไม่ได้ครองราชย์และทรงผนวชอยู่ ทรงได้เสด็จไปสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. 2376 ทรงพบ “เสาศิลา” พร้อมกับ “พระแท่นมนังศิลา” และจารึกวัดป่ามะม่วง พระองค์ทรงได้นำมาเก็บไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ได้ย้ายมาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ภายในพระที่นั่งศิวโมกพิมาน
ด้วยความโดดเด่นและทรงคุณค่าทางวัฒนะธรรม องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนะธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก้ ได้จดทะเบียนให้เป็น เอกสารทางความทรงจำแห่งโลก (Memory of the world) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2546
หลักฐานหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นมาของประเทศ ไทย มีหลายชิ้นที่มีความเป็นมาอย่างพิษดารมากมาย บางชิ้นเกือบจะสูญเสียไปอย่างไม่ได้ตั่งใจ บางชิ้นค้นพบด้วยความบังเอิญ ถ้าพวกเราคนไทยลองศึกษาการได้มาของเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ เหล่านั้นจะรู้ว่า ประเทศของของเรามีบุญหนักหนา เหมือนกับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรบางอย่างช่วยไม่ให้สิ่งเหล่านั้นสูญหาย ไป และได้ช่วยดลให้มีคนไปค้นเจอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเราได้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นที่ศึกษาและเป็นมรดกของประเทศ แล้ว พวกเราก็ควรที่จะศึกษาอย่างจริงจัง ที่สำคัญควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ให้อยู่คู่กับประเทศไทยไปอย่างยาวนาน



ที่มา : ป้ายหน้าหลักศิลาจารึกหลังที่หนึ่ง ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
โดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
เรียบเรียง : วาทิน ศานติ์ สันติ
มีคนถามผมมาหลายคนเหมือนกันว่าการหาเงินทางอินเตอร์เน็ทได้เงินจริงหรือป่าวมาหลายครั้งแล้วแต่ผมบอกไปเพื่อนๆก็คงไม่เชื่ออีกหละจนกว่าจะได้ลองทำด้วยตัวเองจริงใหมครับ

การหาเงินทางเน็ตนั้นมีด้วยกันหลายแบบไม่ว่าจะเป็น Google Adsense,Affiliate Marketing สองอย่างนี้เป็นที่นิยม
และก็มีอีกหลายแบบเช่นกันที่หาเงินได้นอกจากสองแบบข้างบนเช่นPTC,PTR,PTP,PTS,Surf,Hyipทั้งหลายแต่โอกาศจ่ายจริงก็น้อยลงด้วยเช่นกันแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่จายเลยนะครับแต่โอกาศหน้าผมจะมานำเสนอวิธีหาเงินแบบที่จ่ายจริงๆครับ
เง้อเห็นลิดเดอร์ของจุฬายูไนเต็ดแล้วผมว่าสงสัย TTM สมุทรสาครบ้านผมคงต้องมีหนาวบ้างหละครับ แต่ไม่เป็นไรยังไงผมก็เชียร์ TTM สมุทรสาคร แน่นอนงับ

ข้อมูลภาพจาก
ผมพยายามเก็บรวมรวมโฆษณาเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้คนหลายๆคนที่พลาดชมได้มีโอกาศได้ชมกันครับ
vdo ที่1

vdo ที่2

วันนี้เอาแค่2โฆษณานี้ก่อนครับ ความจงรักภักดีแสดงออกได้หลายวิธี นี้อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมพอจะทำได้ครับ
เอาบทความอะไรสำคัญกว่ากันมาให้ได้อ่านกันครับ เห็นว่าเป็นอีกหนึ่งบทความที่ดีครับผม

ณ. ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐแคริฟอร์เนีย มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสี่ขวบ คุณพ่อของเธอมีรถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งคุณพ่อรักมาก เนื่องจากแต่งซิ่งซะ ดูสดใสใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ถูกใจโก๋แก่ ว่างั้นเถอะ

อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหญิงเอาของแข็งไปขีดรถเล่น จนรถเป็นรอยขูดขีดไปทั่วด้วยความโมโหสุดขีด ผู้เป็นพ่อใช้เส้นลวดมัดข้อมือของเด็กหญิง แล้วจับเธอมัดไว้ในโรงรถเพื่อเป็นการทำโทษ และกว่าเขาจะนึกขึ้นได้ ก็เป็นเวลาที่ร่วงเลยไปเกือบ 4 ชั่วโมงแล้ว

ตอนที่เขากลับเข้าไปในโรงรถอีกครั้ง มือของเด็กถูกรัดจนเลือดไม่ไหลเวียน จนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
แพทย์วินิจฉัยว่า ต้องตัดมือทั้งสองข้างทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตไว้ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่เป็นมือได้ตายไปหมดแล้ว

เด็กหญิงจึงต้องสูญเสียมือทั้งสองข้างไป โดยที่เธอก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการถูกทำโทษในครั้งนี้เลย
มันยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา

ครึ่งปีผ่านไป พ่อของเด็กนำรถไปเคาะพ่นทาสีใหม่ ก็ได้รถที่มีสีแสบจ๊าบ ประดุจรถใหม่กลับมาอีกครั้ง

พอถึงบ้าน เด็กหญิงเห็นรถทาสีใหม่ พูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสาว่า “คุณพ่อคะ รถคุณพ่อสวยจังเลย เหมือนรถคันใหม่เลย”

ในขณะเดียวกัน ก็ได้ยื่นแขนไร้มือคู่นั้นออกมา แล้วถามพ่อว่า
“แล้วเมื่อไหร่คุณพ่อถึงจะคืนมือให้หนูละค๊ะ”

คุณทราบไหมว่า เมื่อคุณพ่อคนนั้นได้ยินดังนั้น เขาทำอย่างไร...
เขาดึงปืนออกมา แล้วยิงตัวตายต่อหน้าลูกสาวของเขา... ...

ผู้ คนมากมายในโลกนี้ ยังแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญกว่าในชีวิต มัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะนึกว่า นั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่า...

...คุณจะเห็นคนบางคนอุตส่าห์ไปช่วยมูลนิธิต่างๆกวาดถนน แต่ไม่ยอมแม้แต่จะกวาดบ้านของตัวเอง...

...คนบางคนบริจาคเงินมากมายไปสร้างวัด แต่กับญาติพี่น้องตัวเองกลับเหนียวหนืดยิ่งกว่าอะไร...

...คนบางคนพูดจาไพเราะอ่อนหวานกับคนรอบข้าง แต่กับคนในบ้านกลับตะคอกฉุนเฉียว...

...นี่แสดงว่า คุณพ่อคนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญกว่า ระหว่างรถ กับลูกของตัวเอง...

...ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ ในโลกนี้ล้วนเต็มด้วยเรื่องแบบนี้ และมีให้เห็นเป็นประจำ แม้แต่ท่ามกลางเธอและฉันนี่แหละ... ...

credit http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,70995.msg872160/topicseen.html#new
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราเท่าไหร่หลอกครับ แต่เพราะพี่จีนเราดันเทพซะขนาดนี้ เห็นปลอมมาเกือบทุกอย่างแต่ผมไม่นึกว่าจะกล้าขนาดปลอมไข่นีซิเขาปลอมไข่ไก่ไปทำไรหว่า ภาพมนกรอบเหลือง ภาพซ้ายคือไข่จริง ภาพขวาคือไข่ปลอมที่ทำได้ เหมือนมาก
เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดย เร็วที่สุด
ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้


๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้
การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง

ยกตัวอย่าง

ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"

๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ

๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่ หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้ม เหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมา ตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดี ยิ่งขึ้น เป็นต้น
สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง



หมายเหตุ *

ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็น แก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อ จะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิด อาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง
credit http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,12097.0.html
เอาวิดีโอมาให้ดูกันงับ เพราะว่า เขาก็รับสมัครเรื่อยๆนะครับแค่เขาไม่ค่อยได้โปรโมตเท่าไหร เป็นวีดีโอเก่าแล้วครับแต่อาจโดนใจใครหลายคนให้หันมาพึ่งโครงการต้นกล้าบ้างอย่างน้อยก็ยั่งได้เพื่อนละครับ

เหมื่อนเอาของเก่ามาเล่าใหม่แต่จริงๆอยากให้เพื่อนๆได้มีโอกาศลองนะครับ
จบไปแล้วนะครับกับบอลไทยและลิเวอร์พลูผลเสมอกัน1-1 อิอิผมดีใจมากเลยนะที่เสมออะเพราะอย่างน้อยทีมที่เรารัก2ทีมไม่แพ้แค่นี้ก็สบายใจแล้ว แบบว่าตอนผมนั่งูบอลนะไอ้เพื่อนเราที่ชอบแมนยู(ขออ้างอิงนิด)มันพูดเหน็บไปใจเลย แต่ช่างมันได้ดูบอลก็สบายใจแล้วนี้ถ้าได้ไปดูที่สนามป่านี้คงบินได้ไปแล้วอิอิ บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด เมื้อสองทีมต้องมาเจอผลเสมอคือ ความพอใจ
มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปู
กับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใคร
ก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่
ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อย
รู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่
ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุม
ตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์
ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชาย
ก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูก
ถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับ
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอก
ลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำ
อะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการ
เอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน
ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำ
คำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา
เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า
เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลาย
ทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง
เมื้อวานแซวเรื่องนี้ไปวันนี้เลยต้องเขียนบทความเรื่องนี้นิดหน่อยครับ เดี่ยวจะตกเทรนได้ เอางี้ดีกว่าเริ่มบทความเลยละกัน เช้าวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552 จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง เส้นทางคราสเต็มดวงผ่านหลายประเทศในเอเชีย แต่ไม่ผ่านประเทศไทย เราจึงจะเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากดวงจันทร์เข้าใกล้โลกมากที่สุดใน รอบปีเมื่อเวลาประมาณตี 3 ของวันเดียวกัน และเกิดหลังจากที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากโลกมากที่สุด 2-3 สัปดาห์ ทำให้ดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้สุริยุปราคาครั้งนี้มีระยะเวลามืดเต็มดวงยาวนานมาก

สุริยุปราคา เริ่มต้นเมื่อเงามัวของดวงจันทร์เริ่มแตะผิวโลกในเวลา 6:58 น. ตามเวลาประเทศไทย ตรงบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของอินเดีย ศูนย์กลางเงามืดเริ่มแตะผิวโลกเมื่อเวลาประมาณ 7:53 น. ในบริเวณอ่าวแคมเบย์ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งด้านทิศตะวันตก ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ขึ้น นาน 3 นาที 9 วินาที จากนั้นเงามืดเคลื่อนไปทางตะวันออก ผ่านเนปาล บังกลาเทศ ภูฏาน และตอนเหนือสุดของพม่า เข้าสู่ประเทศจีนในเวลาประมาณ 8:05 น. โดยผ่านเฉิงตูและนครเซี่ยงไฮ้

เงามืดลงสู่ทะเลจีนตะวันออก พาดผ่านทางเหนือของหมู่เกาะริวกิวและอิโวะจิมะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น แล้วเริ่มบ่ายหน้าลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จุดที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุดอยู่ในมหาสมุทรด้วยระยะเวลานาน 6 นาที 39 วินาที โดยเกิดขึ้นในเวลา 9:29 น. ใกล้หมู่เกาะโบนิน นับว่ายาวนานที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21

ช่วงท้ายของปรากฏการณ์ เงามืดผ่านเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะมาร์แชล ก่อนจะสิ้นสุดในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเวลา 11:18 น. ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ตกเป็นระยะเวลานาน 3 นาที 9 วินาที สุริยุปราคาในวันนี้จะสิ้นสุดเมื่อเงามัวของดวงจันทร์หลุดออกจากผิวโลกใน เวลา 12:12 น. ใกล้เกาะวอลลิสและฟูตูนา ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ในมหาสมุทรแปซิฟิก

บริเวณที่เห็นสุริยุปราคา บางส่วนครอบคลุมส่วนใหญ่ของทวีปเอเชีย มหาสมุทรแปซิฟิก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นทางใต้ของอินโดนีเซีย ภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนของประเทศไทย มีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากกว่าภาคอื่น ๆ ซึ่งตรงข้ามกับสุริยุปราคาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยดวงอาทิตย์จะเริ่มแหว่งทางซ้ายมือด้านบนและไปสิ้นสุดทางซ้ายมือด้านล่าง


ตารางการเกิดสุริยุปราคาในจังหวัดต่างๆ
http://thaiastro.nectec.or.th/...lipses/200907tse-thailand.html
ไปเจอบทความนี้มาครับเห็นว่าหน้าสนใจดีเลยเอามาให้ได้อ่านกันในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก จึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้ เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันครับ

1) อินเทรนด์ ( in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า " มันทันสมัย " คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า " ทันสมัย " ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย , a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ ( over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

"He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์
"No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดัง นั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น
ส่วนหนัง ที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" ( ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำ บรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/ คำหวงห้าม/ television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด ( record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ " เร็ค-คอร์ด " เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง , I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า " รี-คอร์ด " เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า ? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me. " หรือ "All is on me. " หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม ( jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า " แจม " น่าจะหมายถึง " ร่วมด้วย " เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย ? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

เจ๋ง เขามีแบ็ค ( back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อผมล เป็นกำลังใจให้

ที่มา: En Jar
เจ้าของบทความ:ไม่ทราบชื่อ
คนไทยใช้อินเตอร์เนทกันมากขึ้นทำให้ตลาดด้านนี้พลอยโตไปด้วยแต่มันก็ยังไม่มากพอ เพราะเหตุผลที่ว่าคนไทยกลัวอะไรที่จับต้องไม่ค่อยได้ผมขายของทางอินเตอร์เนทแรกๆก็ไม่มีใครเชื่อขนาดแม่ตัวเองยังไม่เชื่อเลยอะคิดดูดิ
แต่พอขายได้บ้างคนที่บ้านก็เริ่มถามว่าทำได้จริงหรือ เป็นแชร์ลูกโซ่ใหม เออคือ ผมขายเสื้อนะมันเป็นแชร์ลูกโซ่ตรงใหนหว่า พอไปสอนดันถามผมว่าเอาค่าหัวคิวเท่าไหร แล้วไอ้งานที่บอกว่าส่งเมล์ได้วันละ500-1000เหมื่อนของเราใหมเลยทำให้รู้ว่าอาจเพราะโฆษณาแบบนี้เยอะเลยทำให้คนไทยกลัวการซื้อขายทางอินเตอร์เนทไปด้วย

ผมกำลังสงสัยว่าทำไมคนไทยไม่นิยมสินค้า otop หรือเป็นเพราะว่ามันไม่สวยก็ไม่หน้าใช่หรือว่าไม่ดีก็ไม่หน้าจะใช่อีกแต่ อาจเป็นเพราะไม่มีใครโปรโมตพอจบกระแสก็หายเข้าป่าไป ไม่มีการโฆษณาให้ได้เห็นกันทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนก็ดี เลยทำให้กลุ่มคนที่ทำสินค้าotopได้รับผลกระทบไปด้วย ผมเลยมีความคิดที่จะเอาสินค้าotopของไทยมาลงใน blog,facebook,twitter ของผม อาจช่วยอะไรใครไม่ได้แต่ขอให้ผมได้ช่วยก็ยังดีครับ ไทยไม่ช่วยไทยแล้วใครจะช่วยเรา
ในวันที่ 22 ก.ค.2552 จะเกิดสุริยุปราคา ขึ้น บ้านผมก็เตรียมใหว้กันเลยงับในขณะมี่อีกซีกของโลกนั้นวันที่ 20 ก.ค สหรัฐกำลังฉลอง 40 ปีที่ นีล อาร์มสตรองได้ขึ้นไปเหยียบดวงบนจันทร์ได้สำเหร็จ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นโลกใบเดียวกันหรือป่าวนะ

สุริยคราส 22 ก.ค.นี้ หมอดูบ้านเราบอกใว้ว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ราหู โคจรอยู่ในระนาบเดียวกัน จะเกิดเรื่องร้ายต่อคนที่มีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญของประเทศ รวมทั้งประชาชนจะประสบภัยพิบัติทางน้ำ อาจมีตายหมู่ ส่วนการเมืองจะไม่รุนแรง สามารถผ่านพ้นไปได้

ผมก็นับว่าเป็นคำเตือนที่ดีครับไปดูคำกล่าวของอีกฝั่งบ้างครับ

ผมมีคำกล่าวของ นีล อาร์มสตรอง ที่เคยกล่าวประโยคอมตะขณะเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลกว่า “นี่คือก้าว เล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ มนุษยชาติ”
อย่างไรก็ตาม สหรัฐเตรียมส่งนักบินอวกาศกลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง ภายในปี 2563 เพื่อตั้งฐานปฏิบัติการที่มีมนุษย์ประจำการสำหรับเดินหน้าภารกิจสำรวจดาว อังคาร ภายใต้ชื่อโครงการคอนสเทลเลชัน แต่เริ่มเกิดกระแสไม่แน่ใจเกี่ยวกับโครงการนี้ เมื่อประธานาธิบดีโอบามาสั่งตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด เพราะโครงการนี้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.1 ล้านล้านบาท)

แปลกดีนะครับที่เราอยู่โลกใบเดียวกันแต่อะไรหลายๆอย่างช่างต่างกันนัก
ผมเจอบทความนี้นานมากแล้วเห็นว่าบทความนี้ควรเอามาให้อ่านกัน ยังไงลองอ่านกันดูนะครับ
"ศิริวัฒน์แซนด์วิช" เริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน 2540 เมื่อนายศิริวัฒน์ และภรรยา (คุณวิไลลักษณ์) ได้เริ่มทำและขายแซนด์วิช 20 ชิ้นแรกในวันที่ 20 เมษายน 2540 โดยใช้เวลาขายทั้งหมด 6 ชั่วโมง ครึ่ง
นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อายุ 59 ปี เคยเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) และนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในตลาดหุ้น เขาเคยทำกำไรจากตลาดหุ้นมากมาย จนกระทั่งตลาดหุ้นตกต่ำลงพร้อมกับโครงการคอนโดมิเนียมหรู ในปี 2540 พนักงานที่เหลืออยู่กับเขา จำนวน 20 คน ได้แจ้งความประสงค์ที่จะทำงานอยู่กับเขา ทั้งๆที่เขาได้สูญเสียเครดิตทางด้านการเงินพร้อมกับความร่ำรวย เขาและภรรยาจึงได้ตัดสินใจที่จะลดค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้นเงินเดือนของพนักงาน) เพื่อความอยู่รอด เช่นได้ขอยกเลิกการเช่าออฟฟิศเดือนละ 100,000 บาทเหลือเพียงแค่เช่าทาวน์เฮาส์ เดือนละ 15,000 บาท ภรรยาของเขาเป็นคนเสนอแนะให้ทำและขายแซนด์วิช




ทุกวันนี้ ทาง “ศิริวัฒน์แซนด์วิช”ได้กำลังพัฒนาและพยายามเพิ่มสินค้าและบริการให้มากขึ้น เช่น ซึชิข้าวกล้อง (ข้าวกล้องห่อสาหร่าย), ปิต้าแซนด์วิช, ข้าวตัง, ขนมปังอบกรอบ, หนังสือไม่ยอมแพ้, หนังสือนับหนึ่งใหม่, Coffee Corner, Coffee Catering และ ร้าน เช้า-กลางวัน-เย็น นายศิริวัฒน์ยังคงขายแซนด์วิช เพื่อเลี้ยงพนักงานเก่า(ถึงแม้ว่าจะมีออกไปบางคน) และ คนตกงานบางคน ซึ่งเขาเข้าใจถึงสภาพของคนเหล่านั้นดี สำหรับเขาแล้วเขายังคงดิ้นรนต่อสู้ด้วยความหวัง เนื่องจากประชาชนคนไทยยังคงให้ความช่วยเหลือเกื้อหนุนเขาอยู่ และสัญลักษณ์ "ศิริวัฒน์แซนด์วิช" ที่เป็นรูปเงินบาทลอยตัวกับลูกบอลลูนนั้น เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกแล้ว โดยผ่านสำนักข่าวโทรทัศน์ต่างประเทศ เช่น CNN, BBC World, CNBC, NHK และอื่นๆ อีก 99 ครั้ง และสื่อมวลชนในประเทศอีกกว่า 140 ครั้ง เขาเหล่านั้นต่างขนานนามให้แก่นายศิริวัฒน์ว่า"THE SANDWICH MAN" และ"MR. SANDWICH OF THAILAND”

http://www.sirivatsandwich.com/history/history_th.asp
วันนี้ไปเก็บภาพที่หน้าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ดูกันครับกับภาพหาดูยาก สิงโตพันธุ์พื้นเมืองไทย ที่เราเคยมีกับเขาด้วยหรือด้วยความที่สนใจเลยกดเข้าไปดูพระเจ้า นี้มัน....ตามภาพเลยครับ











นี้มีนดักกันชัดๆเลยนะนี้ทำไมถึงทำกะชั้นได้
ได้บทความนี้มาจากwebboardที่เข้าประจำเห็นว่าหน้าสนใจดีเลยเอามาให้ได้อ่านกันครับ

1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง

3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้นการเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆสัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากรสชาติที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือ การไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า “ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ”

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทานไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าจะพูดคำว่า จะเอายังไง

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้น เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้

14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ แล้วฉีกทิ้ง (หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่น
สักพัก)ความเกลียดจะเบา บางลงเรื่อยๆ

16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆจะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน

19. ถึงเสื้อและกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใสสลับกันไปเรื่อยๆก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน...ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร

24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆคนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

credit http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,70058.0.html