Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
ผมว่าคนพุทธหลายๆคนอาจจะไม่รู้ว่าทำไมการใว้พระจะต้อง ธูป เทียน และดอกไม้โดยเฉพาะวัยรุ่น วันนี้ผมมีบทความดีๆมาให้ได้อ่านกันครับ
การได้เข้าวัดในเวลาที่ว่างเว้นจากภารกิจการงานเช่นวันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต เพราะจะได้ประกอบศาสนกิจต่างๆที่เป็นเหตุของความสิริมงคลทั้งหลาย เช่นการกราบพระ บูชาพระด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ดังในพุทธภาษิตที่แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมังการได้บูชาสิ่งที่สมควรแก่การบูชาเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง การบูชาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นได้ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา อามิสบูชาเป็นการบูชาด้วยเครื่องสักการะเช่นดอกไม้ ธูป เทียน ส่วนปฏิบัติบูชาคือการพัฒนาจิตใจด้วยการเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อย่างธูป ๓ ดอก หมายถึงพระพุทธคุณ ๓ ประการ ได้แก่ พระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ

พระกรุณาคุณคือความสงสารที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่ สัตว์โลกทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ธรรมและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงเก็บพระธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้ตามลำพัง แต่ทรงอุทิศเวลาตลอด ๔๕พรรษา คือตลอดเวลาของพระชนมายุที่เหลืออยู่ตั้งแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งถึงวันเสด็จ ดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงใช้เวลานี้สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้จักเรื่องบาปบุญ คุณโทษ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน เรื่องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอนแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็ยังจะต้องจมอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่าง ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะไม่รู้จักทางออก เป็นเหมือนคนตาบอด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข อะไรคือเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ อะไรคือผลของการกระทำดีและชั่ว ไม่มีใครรู้กัน

แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และประกาศ พระธรรมคำสอนแล้วจึงได้รู้กัน เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมแล้วนำเอาไปปฏิบัติก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตาย เกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ดังที่พระอริยสงฆสาวกได้น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เปรียบเหมือนยารักษาโรค สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนคนไข้ ถ้าไม่มียารักษาโรค ย่อมไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงต้องอาศัยหมอที่มีความกรุณาอย่างพระพุทธองค์ประทานธรรมโอสถมาให้ เมื่อรับประทานแล้วก็จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย นี่คือพระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้า

พระปัญญาคุณหมายถึงความรู้ ความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่สามารถแหวกว่ายให้พ้นจากกองเพลิงกองไฟแห่งการ เวียนว่ายตายเกิดได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถทำได้แม้แต่คนเดียวในโลกนี้ มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีปัญญามีความรู้ความฉลาดที่ สามารถนำพาพระองค์ให้พ้นจากกองทุกข์นี้ได้ ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ พระพุทธองค์ก็ทรงแสวงหาครูอาจารย์ผู้รู้ต่างๆ เพื่อที่จะได้สอนท่านให้รู้จักวิธีการหลุดพ้นจากกองทุกข์ แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยในโลกนี้แม้แต่คนเดียว พระพุทธองค์จึงต้องใช้ความอุตสาหะความพยายาม ขันติความอดทน ทดลองไปเรื่อยๆ โดยอาศัยใช้เหตุใช้ผลใช้สติปัญญาอันแหลมของพระองค์ ลองผิดลองถูกไปจนกระทั่งในที่สุดก็พบทางที่จะนำพาไปสู่ความสงบสุข ทางที่จะนำพาไปสู่ความสิ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง

พระ วิสุทธิคุณ หมายถึงพระทัยของพระพุทธเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาทั้งหลาย ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยสติด้วยปัญญา พระทัยของพระพุทธองค์ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ทรงปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นที่ยังอยู่ในกองทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ไป ทรงอุทิศเวลาและสติปัญญาสั่งสอนสัตว์โลกโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว การสั่งสอนของพระพุทธองค์แต่ละครั้งจะไม่มีบาตรวางไว้ข้างหน้าเพื่อเรี่ยไร กัณฑ์เทศน์เอาเงินเอาทองจากญาติโยม นี่ไม่ใช่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนธรรมโดยไม่คิดเงินคิดทอง ไม่เรี่ยไรเงินทองจากผู้ฟัง เพราะพระองค์มีพร้อมอยู่แล้วในพระทัยของพระองค์ พระพุทธองค์ทรงร่ำรวยด้วยพระอริยทรัพย์ ไม่มีทรัพย์อะไรจะเท่าเทียมกับพระอริยทรัพย์ที่มีอยู่ในจิตใจ เพราะผู้ใดมีพระอริยทรัพย์อยู่ในจิตใจแล้วย่อมมีแต่ความอิ่มเอิบใจ มีแต่ความพอ เปรียบเหมือนกับตุ่มน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแล้ว จะใส่น้ำเข้าไปเท่าไรน้ำก็จะล้นออกมา นี่คือพระทัยของพระพุทธเจ้าผู้ที่มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ สั่งสอนสัตว์โลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ปรารถนาแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากผู้ที่พระพุทธองค์ทรงช่วยเหลือ แม้กระทั่งคำว่าขอบอกขอบใจหรือความสำนึกในบุญคุณพระพุทธองค์ก็ไม่เคยปรารถนา ไม่เคยหวังอะไรจากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว

แต่สำหรับสัตบุรุษคน ดี เมื่อได้รับความช่วยเหลือแล้วย่อมสำนึกในพระคุณของผู้ให้ ดังที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆครั้งที่ได้พบ เห็นพระพุทธรูป ด้วยการน้อมจิตน้อมใจกราบนมัสการในองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ด้วยความสำนึกในพระคุณอันใหญ่หลวงที่พระพุทธองค์ทรงได้มอบให้กับสัตว์โลก ทั้งหลาย แม้ในพระทัยของพระพุทธองค์จะไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่จะคิดถึงสิ่งตอบแทนจาก สัตว์โลกทั้งหลาย พระโอวาทของพระพุทธองค์ทุกๆบท ทุกๆบาทเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ฟังโดยถ่ายเดียว ไม่มีประโยชน์ของผู้แสดงอยู่แม้แต่น้อยนิด นี่คือลักษณะของวิสุทธิคุณ คือจิตที่ชำระแล้ว ไม่มีความโลภ ความอยาก นี่คือการเจริญพระพุทธคุณที่เรียกว่าพุทธานุสติ ทุกครั้งที่จุดธูป ๓ ดอก ขอให้ระลึกถึงพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ เพราะเมื่อระลึกถึงแล้ว จะทำให้เกิดปัญญานำพาไปสู่การดับทุกข์ได้ แต่ถ้าจุดธูปไปโดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐ ๓ ประการ ก็จะไม่ได้ปฏิบัติบูชา จะได้แต่เพียงอามิสบูชา

ส่วนการจุดธูปแล้วก็ขอพรให้พระทำสิ่ง นั้นสิ่งนี้ให้ เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติตนทางกายวาจาใจ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไม่ได้สอนแม้แต่คำเดียวว่า เวลาจุดธูปเทียนแล้วขอให้ร่ำให้รวย ขอให้เรียนจบ หรือขอให้มีลูกมีเต้า หรือขอให้ได้ตำแหน่งต่างๆ พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้ขอ แต่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำ ให้มีความอุตสาหะวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร อยากได้อะไรก็พยายามหามาด้วยลำแข้งลำขาด้วยสติปัญญาของตน อย่ารอพึ่งคนอื่น ถ้ารอพึ่งคนอื่นก็จะกลายเป็นขอทานไป ก็ต้องขอไปตลอดชีวิต แต่ถ้าหามาได้ด้วยสติปัญญา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนแล้ว ต่อไปจะต้องการอะไรในโลกนี้ก็จะสามารถหามาได้ด้วยตนเอง เพราะพึ่งตนเองได้ มีตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น

แสง เทียนหมายถึงแสงสว่างแห่งธรรม จิตใจของปุถุชนอย่างเราอย่างท่านยังต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรม เพราะยังมืดบอดอยู่ มีความหลง มีอวิชชาครอบงำทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสุขเป็นทุกข์ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน นี่คือความหลง ถ้าตราบใดยังคิดว่ามีตัวตนอยู่ นั่นแหละคือความหลง ถ้าตราบใดยังคิดว่าโลกนี้มีความสุขที่ยังแสวงหาได้อยู่ นั่นก็คือความหลง ถ้ายังคิดว่ายังมีสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่ในโลกนี้ นี่ก็คือความหลง เพราะตามความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ให้ความสุขที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่จะเป็นของๆเราอย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องหมดสิ้นไป ต้องมีการพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจากไปหรือหมดไป เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเราเป็นของของเรา ดังที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของๆตน

เราจึงต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อ เป็นแสงสว่างชี้ทางให้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับเวลาที่อยู่ในที่มืด ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าเป็นแมวหรือสุนัข ถ้าไม่มีแสงสว่างจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ถ้ามีแสงไฟก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างฉันใด แสงสว่างแห่งธรรมก็เช่นกัน เป็นแสงสว่างที่ทำให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือบาป อะไรคือบุญ อะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือนรก อะไรคือสวรรค์ สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงที่มีอยู่ แต่จิตใจมืดบอดจึงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อไม่เห็นจึงไปเถียงพระพุทธเจ้า ไปปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนงมงาย สอนให้คนเชื่อ ไม่ให้คนคิด

ความ จริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อ และทรงสอนให้คิดด้วย สิ่งที่ยังไม่รู้ยังไม่เห็นก็ต้องเชื่อไปก่อน สิ่งที่ต้องคิดก็ต้องคิด เหมือนกับพ่อแม่สอนลูก เมื่อลูกยังเด็กอยู่ ยังคิดเองไม่ได้ก็ต้องเชื่อไปก่อน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ใจคอโหดร้ายพอที่จะสอนให้ลูกไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุขความเจริญทั้งนั้น ลูกๆจึงเชื่อพ่อแม่ได้อย่างตายใจ ในเบื้องต้นจึงควรเชื่อพ่อแม่ไปก่อนเพราะยังคิดไม่เป็น เมื่อโตแล้วคิดเป็นแล้วก็จะรู้ดีรู้ชั่วเอง

ชาวพุทธก็เหมือน กัน ในเบื้องต้นยังไม่มีสติปัญญาพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคืออะไร ก็ต้องเชื่อไปก่อน เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก เชื่อสวรรค์ แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนเห็นเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เมื่อเห็นแล้วจะไม่เชื่อก็ได้ อย่างพระ สารีบุตร หลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว พระสารีบุตรได้เปล่งอุทานว่า บัดนี้เราไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าอีกต่อไป เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง เหมือนกับคนตาบอดที่รักษาตาให้ดีแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นนำทางอีกต่อไป นี่คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องพึ่งอะไรอีกต่อไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านไม่ต้องพึ่งอะไรแล้ว เพราะท่านมีสรณะในตัวของท่านแล้ว คือมี พุทธะ ธรรมะ สังฆะ อยู่ในใจ นี่คือเรื่องของการจุดเทียนบูชาพระ คือการจุดแสงสว่างแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นมาภายในใจด้วยการปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม

ส่วนดอกไม้ที่ใช้บูชาพระที่มีสีต่างๆ เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง ก็หมายถึงพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่มาจากทุกเพศทุกวัย มีทั้งหญิงทั้งชาย นักบวช ฆราวาส เด็ก และ ผู้ใหญ่ เพราะการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศกับวัย แต่ขึ้นอยู่กับสุปฏิปันโน คือการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ได้ ผู้นั้นก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ ดอกไม้มีความสวยงามด้วยสีสัน พระอริยบุคคลก็มีความสวยงามด้วยความประพฤติ

ทุกครั้งที่บูชา พระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ก็ขอให้บูชาทั้งอามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา คือบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และบูชาด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ด้วยการเจริญ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นการตัดทุกข์ ตัดภพตัดชาติให้น้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป
บทความนี้ได้มาจากเว็บhXXp://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,9868.0.html (แก้xxเป็นtt)

0 ความคิดเห็น: